เสียงแห่งสติ – เสียงแห่งพระพุทธองค์

ในสมัยพุทธกาล เกิดภาวะทุพภิกขภัย ข้าวยากหมากแพง น้ำแล้ง ฝนขาด ประชาชนเดือดร้อนกันไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ในเมื่อฝนแล้ง น้ำขาด แต่คนจำเป็นต้องกินต้องใช้ ทรัพยากรน้อย แต่ความต้องการมาก จึงเกิดปัญหาตามมา

พระญาติวงศ์ทั้งสองฝ่ายของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ล้วนมีอาชีพเกษตรกรรม คือ การทำนา แต่ในภาวะฝนแล้ง น้ำแห้งขาดคราว ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการน้ำ จึงเกิดการแย่งน้ำเข้านา แย่งกันกันไปแย่งกันมา จึงเกิดเป็นความบาดหมาง จากความบาดหมาง กลายเป็นความแค้น และจากความแค้นก่อเป็น “สงครามแย่งน้ำทำนา” พระญาติวงศ์ทั้งสองฝ่าย จึงจัดทัพช้าง ทัพม้า ทัพรถ ทัพพลเดินเท้า เข้ามาเผชิญหน้ากันอยู่ริมสองฝั่งน้ำ

ขณะที่สงครามแย่งน้ำกำลังจะเปิดฉากขึ้น มานั่นเอง พระพุทธองค์ก็ทรงทราบเรื่องแงและเสด็จดำเนินมาประทับท่ามกลางกองทัพของทั้ง สองฝ่าย

ทุกคนเมื่อเห็นพระพุทธองค์เสด็จมา จึงเกิดสติ หยุดยั้งอยู่ในที่ตั้งของตัวเอง รอดูสถานการณ์เฉพาะหน้าว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
นาที นั้นพระพุทธองค์จึงตรัสถาม

“พวกเธอกำลังจะทำอะไร”
“ทำสงครามแย่งน้ำพระพุทธเจ้าข้า”
“น้ำกับคน อย่างไหนมีค่ามากกว่ากัน”
“คนพระพุทธเจ้าข้า”
“หากคนมีค่ามากกว่าน้ำ ถ้าเช่นนั้นมันคุ้มกันหรือไม่ ที่พวกท่านกำลังจะฆ่าคนเพื่อแย่งน้ำ”
“ไม่คุ้มพระพุทธเจ้าข้า”
“ถ้าไม่คุ้มแล้วทำ ทำไม”

สิ้นพระสุรเสียงตรัสถาม ทุกอย่างเงียบกริบ มือที่ถืออาวุธค่อยๆ ลดลง พระญาติวงศ์ทั้งสองฝ่ายต่างแยกย้ายกันกลับที่ตั้ง สงครามระหว่างคนสายเลือดเดียวกัน จึงเป็นอันยุติ

เหตุการณ์ที่ทรงห้ามพระญาติทำสงครามคราว นั้น ศิลปินนำมาปั้นเป็น “พระปางห้ามพระญาติ” ให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้

ศักยภาพที่จะก่อสงครามก็อยู่ที่คน ศักยภาพที่จะหยุดสงครามก็อยู่ที่คน แต่บางครั้งที่คนเข้าสู่สงครามเพราะขาด “สติ”
พอขาดสติ ก็อาจเผลอเห็นดีเห็นงามไปว่า “ผลประโยชน์” มีค่ามากกว่าคน มากกว่าชีวิตมนุษย์ เดชะบุญที่ในสมัยพุทธกาล มีพระพุทธองค์คอยเป็น “สติของสังคม” แต่ในเมืองไทยในยามนี้ ใครจะเป็น “สติของสังคม”

ในยามนี้ เมืองไทยไม่มีพระพุทธเจ้าในแง่ที่เป็นบุคคลทางประวัติศาสตร์
แต่ เรามีพระพุทธเจ้าในแง่ที่เป็นเนื้อหาสาระแห่งธรรม
เพราะเราเป็นเมืองพระ เราเป็นเมืองพุทธ เราเป็นเมืองแห่งสันติ
“สติ” นั่นแหละคือพระพุทธเจ้า
หากเราทุกคนมี “สติ” เราทุกคนก็คือ พระพุทธเจ้า
ดังนั้น เราทุกคนนี่แหละคือ พระพุทธเจ้า ที่จะร่วมกันเป็น “สติของสังคม” อย่างเสมอหน้ากัน
ขอให้เราคนไทยทุกคน ผู้เป็นดั่งพระพุทธเจ้าองค์น้อยๆ ที่ยังคงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์จงลุกขึ้นมาส่งสัญญาณว่า “เราไม่ต้องการความ รุนแรง”

เสียงของเราซึ่งเป็นเสียงที่เปี่ยมสติ หนึ่งเสียง สองเสียง สามเสียง สี่เสียง ห้าเสียง หกเสียง….ร้อยเสียง…พัน เสียง…หมื่น…แสน…ล้าน….หก สิบล้านเสียง หากดังขึ้นมาอย่างพร้อมหน้ากัน ก็จะเป็น “เสียงแห่งสติ” ที่ดังกลบเสียงแห่งความโกลาหลวุ่นวายได้อย่างมีพลัง

ขอให้เราทุกคนผู้ เป็น “เสียงแห่งสติ”
ขอให้เราทุกคนผู้ เป็นดั่ง “เสียงแห่งพระพุทธองค์”
จงลุกขึ้นมาส่ง เสียงแห่งสติร่วมกัน ด้วยวิธีการใดๆ ก็ได้
ขอให้เราจงร่วมกัน ส่งสัญญาณว่า “เราไม่ต้องการความรุนแรง”
เราไม่ต้องการให้ ใคร “ลุกขึ้นมาทำร้ายประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา”

…………………………………………….

อหิงสา ปรโม ธมฺโม การไม่ใช้ความ รุนแรง คือ ยอดแห่งธรรมะ
ขนฺ ตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ขันติคือความอด ทน เป็นหลักการอันยอดเยี่ยม
สพฺ เพ สตฺตา ญาติกา โหนฺติ ไทยทั้งผองล้วนเป็น พี่น้องกัน

ดาวน์โหลดไฟล์เสียงเพื่อเผยแพร่(.Mp3 /10.6 MB)

ว.วชิร เมธี
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
http://www.dhammatoday.com

Share

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.