วันก่อนได้คุยกับพี่หมอเชน
พี่เชนถามเรื่องปัญหางานในบริษัท
ปัญหานี้มันเป็นสิ่งที่กระเพื่อมใต้น้ำมาตลอดเวลา
ทำให้บริษัทที่ผมทำงานด้วยสะดุดไม่เป็นท่าบ่อยๆ
บ่อยครั้งที่ผมปล่อยไปเพราะ ยังไงเสียฟ้าดินก็รู้
ฟ้าในที่นี้ผมหมายถึงผู้มีความคิดเหนือกว่า
และดินในที่นี้หมายถึงตัวของผู้กระทำ
การทำงานมันเป็นสิ่งซับซ้อนอย่างที่เราๆ ท่านๆ ได้เจอ
ผมพยายามกับมัน เพื่อรักษาความสมดุลให้เกิด
แม้ว่ามันจะต้องทำให้เพื่อนร่วมงานอดทนเผชิญอยู่กับผู้กระทำผิด
พี่เชนบอกว่า บางครั้ง ความสมดุลไม่ได้หมายถึงการอยู่ตรงกลาง
แต่เราต้องเอียงข้างบ้างเพื่อปรับสมดุล ” มันคือแก่น ”
ต้นหญ้าพริ้วไหวตามลม จึงอยู่รอด
ไม้ใหญ่ทนทานต้านลม จึงหักล้ม
ต้นหญ้ามิได้ปะทะลม จึงอยู่รอด
ไม้ใหญ่ปะทะลม จึงหักล้ม
ต้นหญ้ามิทำให้ลมแปรปรวน จึงอยู่รอด
ไม่ใหญ่ทำให้ลมแปรปรวน จึงหักล้ม
พี่เชนใช้คำนี้ว่า ” วีรบุรุษรู้สถานการณ์ ”
ถ้าไม่ถูก จำเป็นต้องเอียง ก็ต้องเอียงบ้าง
ผมนับถือจริงๆ คนแบบนี้
ช่างจัดชีวิตได้ลงตัว และ สมบูรณ์แบบ…
…
บ่อยครั้ง ตาโอ เตือนสติผมหลายครั้งด้วยพิชัยสงคราม
แม่ทัพสั่งการครั้งแรก ลูกทัพไม่ทำตาม
เป็นความผิดที่แม่ทัพ สั่งการไม่ชัดเจน
จึงต้องอธิบาให้ชัดเจน และถามความเข้าใจ
หากเมื่อเข้าใจดีแล้วจึงสั่งการครั้งต่อไป
แต่เมื่อแม่ทัพสั่งการครั้งที่สอง ลูกทัพไม่ทำตาม
จึงเป็นความผิดที่ ลูกทัพประการเดียว
สิ่งที่ต้องทำคือ ” ตัดหัว ”
…
วันนี้..
ในหนังสือเชิญพนักงานออก
จึงมีชื่อผมร่วมรับทราบอยู่ในนั้นด้วย
ที่จริงมันควรจะเกิดขึ้นตั้งนานมาแล้ว
แต่ผมคงมีกังวลหลายๆอย่าง
จึงเป็นคนที่คอยทัดทานอยู่ตลอดเวลา
แม้ขณะจรดปากกา ผมยังคงคิดเสมอ
“เราคิดถูกแล้วใช่ไหม..
จะมีปัญหาใดตามมาไหม..
และเราจะรับมือได้อย่างไร..”
เพราะสิ่งที่ผมกลัว ผมไม่ได้กลัวการมาแบบซึ่งๆ หน้า
แต่ผมกลัวการเผชิญศึกแบบกองโจร
แม้ว่าสิ่งที่ทำมันคือการเอียงเพื่อรักษาสมดุล
และสามารถทำตามกฏแห่งการปกครองได้
แต่หากทำกับคนพาลแล้ว
สิ่งที่ตามมาย่อมเป็นความชั่วช้า
และไม่สามารถคาดเดาตามรูปแบบปกติได้อย่างแน่นอน
ผมเกลียดจริงๆ…