การแพทย์ไทยกล่าวไว้ว่า สรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลนี้ ประกอบด้วยธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟและอากาศ ถ้าขาดธาตุใดธาตุหนึ่งก็จะเสียสมดุล หรือธาตุหนึ่งธาตุใดพร่องหรือแกร่งเกินไปก็จะส่งผลให้เสียสมดุลเช่นเดียวกัน
ส่วนศาสตร์การแพทย์จีนได้กำหนดไว้ในทฤษฎีปัญจธาตุ ซึ่งบอกไว้ว่าสรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลประกอบด้วยธาตุทั้ง 5 คือ ธาตุน้ำ,ธาตุไม้,ธาตุไฟ,ธาตุดิน, ธาตุทอง |
และได้เปรียบเทียบไตและกระเพาะปัสสาวะอยู่ในธาตุน้ำคอยควบคุมการหมุนเวียนน้ำในร่างกาย ถ้าธาตุไม่สมดุลไตและกระเพาะปัสสาวะก็มีปัญหาและก็ลามไปสู่อวัยวะอื่นๆด้วย
จากประสบการณ์ในการรักษาคนไข้ของผม น้ำคือตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราเจ็บป่วย แต่ละคนดื่มกินน้ำที่แตกต่างกันไป มีทั้งน้ำธรรมดา น้ำเย็น น้ำร้อน น้ำชา น้ำอัดลม น้ำผลไม้ น้ำนม ผลที่ได้จากการดื่มน้ำนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป อีกทั้งจำนวนมาก-น้อย จังหวะเวลาในการดื่มน้ำก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการของโรคต่างๆได้
เราอาจเคยได้ยินเรื่องการดื่มน้ำ 5 แก้วเพื่อรักษาโรคหรือดื่มน้ำมากๆจะทำให้สุขภาพดี เราก็พากันดื่มน้ำกันยกใหญ่ ดื่มกันอย่างผิดๆเพราะไม่เข้าใจว่าควรดื่มน้ำเวลาใด ดื่มน้ำไปทานอาหารไปหมดน้ำไปเป็นลิตร ดื่มน้ำอัดลมบ้าง น้ำเย็นบ้าง ก่อนนอนก็ดื่มน้ำอีกลิตร เป็นวิธีดื่มน้ำที่ผิด ถ้าท่านดื่มน้ำแบบนี้มันก็จะทำให้ท่านท้องอืด ท้องเฟ้อ เกิดลมในกระเพาะหรือกลางคืนต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ 2-3 ครั้ง ไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี
ลองใช้วิธีที่ผมแนะนำให้คนไข้ของผมปฏิบัติเป็นประจำดูนะครับ ซึ่งที่ผ่านมาคนไข้ที่ปฏิบัติดูแล้วได้ผลดีมาก เป็นเคล็ดลับการดื่มน้ำแบบง่ายๆที่ท่านสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ตามขั้นตอนดังนี้ครับ
ขั้นตอนที่ 1. ดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัว
ร่างกายคนเรานั้นต้องประกอบด้วยน้ำ 60-70% เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวเรา ตามสูตรที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเอาไว้ คนเราในแต่ละวันต้องดื่มน้ำให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักของตัวเอง วิธีคำนวณก็คือ
เท่ากับว่าถ้าท่านหนัก 60 กิโลกรัม ต้องดื่มน้ำให้ให้ประมาณ 1.9 ลิตรต่อวัน หรือ เกือบ 10 แก้วนั่นเองครับ
ทำไมต้องดื่มน้ำให้ได้ขนาดนั้น?
เพื่อความสมดุลของน้ำในร่างกาย เพราะร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 2 ใน 3 ส่วน ถ้าร่างกายขาดน้ำ ธาตุไฟก็จะโหมกระหน่ำ ธาตุลมก็กำเริบ ธาตุดินก็แห้งแตกระแหง
หรือจะดูกันง่ายๆ เลือดเรานั้นต้องประกอบด้วยน้ำกว่า 60 % ถ้าขาดน้ำเลือดก็จะข้นหนืด ทำให้เลือดมันไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกายลำบาก หัวใจก็จะทำงานหนักในการสูบฉีดเลือด เส้นเลือดบางเส้นมีขนาดเล็กมากจนต้องใช้กล้องขยายส่องดูจึงจะมองเห็น ท่านลองคิดดูว่าเลือดที่มันข้นหนืดจะเข้าไปในเส้นเลือดเล็กๆเหล่านั้นได้อย่างไร สุดท้ายก็ทำให้เส้นเลือดอุดตัน สมองขาดเลือด เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตไป ดังนั้นผมว่าเราหันมาดื่มน้ำให้พอเพียงกับที่ร่างกายต้องการกันดีกว่าครับ
ขั้นตอนที่ 2. ดื่มน้ำตอนเช้าหลังตื่นนอน
ตื่นเช้าขึ้นมาผมแนะนำว่าอย่างแรกที่ท่านควรทำก่อนอย่างอื่นเลยก็คือ ดื่มน้ำให้ได้ 2-5 แก้ว ก่อนแปรงฟัน ดื่มน้ำอุ่นๆได้ยิ่งดี เพราะน้ำอุ่นนั้นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา และอุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิของร่างกายให้เย็นลง
ทำไมต้องดื่มน้ำก่อนแปรงฟัน บางท่านแปรงฟันเสร็จแล้วก็จะไปทำธุระอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ อ่านหนังสือพิมพ์ ทานกาแฟ หรือทานข้าวเสร็จแล้วออกจากบ้านไปเลย จนลืมดื่มน้ำไป สาเหตุที่ให้ดื่มน้ำก่อนแปรงฟันก็เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านหลงลืมการดื่มน้ำยังไงล่ะครับ หรือถ้าท่านใดรู้สึกรังเกียจขี้ฟันของตัวเองก็ดื่มหลังจากแปรงฟันเสร็จแล้วก็ได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่อย่าลืมดื่มน้ำละกันครับ
การดื่มน้ำตอนเช้ามีประโยชน์อย่างที่ท่านคาดไม่ถึงเลยครับ เพราะเป็นการชำระล้างทำความสะอาดระบบขับของเสียในร่างกาย ช่วงเช้านั้นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกำจัดพิษออกจากร่างกาย ร่างกายจะได้สะอาดแถมยังเป็นยารักษาโรคอย่างดีอีกด้วย เช่น ผู้ที่มีอาการท้องผูก ถ้าดื่มน้ำได้ 5 แก้วในตอนเช้า ร่างกายจะค่อยๆปรับสมดุล ภายใน 2 สัปดาห์ระบบขับถ่ายก็จะดีขึ้นเองโดยไม่ต้องกินยาระบายหรือยาถ่ายเลย เพราะยาถ่ายจะทำให้ลำไส้เสียการทำงาน เพราะถูกยากระตุ้นจนเคยชิน ขับถ่ายเองตามธรรมชาติย่อมดีกว่าเห็นๆครับ
ขั้นตอนที่ 3.หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม นม
อุณหภูมิโดยปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียส ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆ สัก 2 องศาเซลเซียส น้ำเย็นจะต้องไปดึงความร้อนของร่างกายมาทำให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย การดูดซึมจึงจะทำงานได้ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้คืนสู่ปกติ บางท่านเอาน้ำชาใส่กระติกน้ำแข็งแช่เย็นแล้วก็ดื่มทั้งวัน เวลาดื่มก็ชื่นใจดี แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น เพราะชามีฤทธิ์เย็นแม้ท่านจะดื่มแบบร้อนก็ตาม เมื่อชาเข้าไปอยู่ในร่างกายแล้ว ความร้อนของน้ำจะหายไป เหลือแค่ฤทธิ์ของชาซึ่งเย็น และไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อเราดื่มน้ำชาแช่เย็นแล้วตัวเราจะเย็นมากขึ้นเพียงใด เหมือนร่างกายเราถูกแช่เย็น แถมยังเกิดลมเกิดแก๊สขึ้นมาอีกต่างหาก
ส่วนน้ำอัดลมนั้น ท่านดื่มแล้วรู้สึกเย็นซ่าชื่นใจ จนบางคนติด ไม่ดื่มไม่ได้ จะดื่มทีก็ต้องดื่มแบบเย็นจัด แช่ตู้เย็นแถมใส่น้ำแข็งเพิ่มไปอีก ท่านลองคิดดูซักนิดว่าท่านได้อะไรจากน้ำอัดลมบ้าง นอกจากความเย็น น้ำตาล สารแต่งสี สารแต่งกลิ่น มีแต่สิ่งไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นเลย น้ำอัดลมดื่มได้ครับแต่ขอให้ดื่มกับพอรู้รสชาติ อย่าได้ดื่มกันเป็นกิจวัตรจนแทนน้ำ แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรงดไปเลยดีกว่าครับ
และนม ที่หลายท่านพยายามสอนให้ลูกให้หลานดื่มกันด้วยความเชื่อว่านมนั้นมีประโยชน์เหลือหลาย ว่าจะทำให้ตัวโตแข็งแรง แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ชาวเอเชียเมื่อหย่านมแล้วร่างกายจะไม่ย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม และสารเคซินในนมจะเหนียวจับตัวเป็นลิ่มเป็นก้อนทำให้กระเพาะอาหารทำการย่อยสารเหล่านี้ลำบาก และยังนิยมดื่มนมที่มีรสหวาน ดื่มนมแช่เย็นกันอีก ความหวานและความเย็นจากนมที่ท่านชอบดื่มกันก็สามารถสร้างปัญหาให้ร่างกายท่านได้ไม่ต่างอะไรจากน้ำอัดลมเช่นเดียวกัน
ขั้นตอนที่ 4.ดื่มน้ำให้ถูกเวลา
– 15 นาทีก่อนทานอาหาร
-ระหว่างทานอาหาร
– รับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
ทั้งสามกรณีที่ผมยกมานี้เป็นช่วงเวลาที่คนเรามักดื่มน้ำ การดื่มน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นการดื่มน้ำที่ผิดเวลาอย่างมาก และเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้
ถ้าท่านดื่มน้ำก่อนทานอาหาร น้ำที่ท่านดื่มเข้าไปมันก็ไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และพอท่านทานอาหารตามเข้าไป น้ำย่อยที่เข้มข้นสำหรับย่อยอาหารมันกลับเจือจางเสียแล้ว ทำให้การย่อยอาหารไม่ดี อาหารไม่ย่อยและเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหาร พอเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหารเมื่อไหร่ก็เกิดพิษในร่างกายขึ้นมาเมื่อนั้น พิษที่เกิดขึ้นมาก็เป็นสาเหตุอาการเจ็บป่วยทั้งหลาย เช่นเดียวกับการที่ท่านดื่มน้ำระหว่างทานอาหาร หรือดื่มน้ำหลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ จะทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี
สาเหตุง่ายๆที่ท่านอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าการดื่มน้ำผิดเวลาก็ทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ แต่แก้ไขได้ง่ายๆครับ ด้วยวิธีดังนี้
1. ระหว่างทานอาหารควรดื่มน้ำแต่น้อย อย่างมากไม่เกิน 1 แก้ว เพื่อให้น้ำย่อยมีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้เต็มที่
2. หลังทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที ค่อยดื่มน้ำตามปกติ เพื่อให้กระเพาะได้ทำการย่อยอาหารเสียก่อน
3. และที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น ในการย่อยอาหารนั้นกระเพาะต้องใช้ไฟในการย่อยอาหาร ถ้าท่านดื่มน้ำเย็นเข้าไป ความเย็นจะเข้าไปดับไฟในกระเพาะ และเป็นสาเหตุให้อาหารไม่ย่อย บางท่านอาจจะบอกว่าเวลาไปทานร้านอาหาร เขาก็ให้แต่น้ำเย็นทั้งนั้น ก็ขอให้ท่านดื่มแต่น้อยดีกว่าครับ
กระเพาะอาหารมีธาตุไฟ “ปริณามัคคี” คือไฟสำหรับย่อยอาหาร ที่จะย่อยอาหารให้เป็นสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ถ้าไฟธาตุนี้พิการ อาหารก็จะไม่มีไฟในการย่อย ก็จะเกิดอาหารท้องอืด ท้องพอง ผะอืมผะอม อาเจียน ร้อนในอกในใจ บวมตามมือตามเท้า บางคนไอไม่หายเพราะกินแต่ยาแก้ไอ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด เพราะต้นเหตุที่แท้จริงคือกระเพาะอาหารย่อยอาหารไม่ได้ แล้วเกิดการหมักหมมเกิดเป็นแก๊สพิษ Toxin ในร่างกายและกระแสเลือด
ผมมีตัวอย่างผู้ป่วย 2 ท่านที่มีอาการเจ็บป่วยจากน้ำเป็นสาเหตุมาให้ท่านลองพิจารณาดูกันว่า น้ำจะเป็นสาเหตุของอาการป่วยได้อย่างไรบ้าง
ท่านแรกเป็นผู้ชาย อายุ 32 น้ำหนัก 57 กก มีอาการเจ็บใต้น่อง ตั้งแต่เส้นกระเพาะปัสสาวะ เดิน ยืดขาตรงๆไม่ได้ ต้องงอขาเอาไว้ เคยเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นวดแล้วก็หาย แต่ 2-3 เดือนที่แล้วอาการกำเริบขึ้นมา กีฬาที่เคยเล่นทั้งแบดมินตัน บาสเกตบอลปัจจุบันนี้เล่นไม่ได้เลย เพราะแม้แต่ยืนยังไม่ไหว ปวดตั้งแต่ก้นกบ สลักเพชร ลงไปที่ขา มันเป็นเพราะสาเหตุจากอะไร เราลองมาดูพฤติกรรมของผู้ป่วยท่านนี้กันนะครับ
เริ่มตั้งแต่เช้า นอนดึก ตื่น 7 โมง ไม่ทานอะไรเลย ไม่ว่าน้ำหรืออาหาร แต่มาทานอาหารเอาตอน 11 โมงและตอนหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม ดื่มน้ำเฉพาะตอนทานหลังอาหารเท่านั้น จะไม่ดื่มน้ำเวลาอื่นเลย ระหว่างวันก็จะไม่ค่อยดื่ม น้ำที่ดื่มก็เป็นน้ำเย็นใส่น้ำแข็ง เขาทานอาหารสองมื้อ ดื่มน้ำรวมกันแล้ว 3 แก้ว บางครั้งก็ทานน้ำอัดลมบ้าง สัปดาห์ละ2-3ครั้ง ไม่ทานกาแฟ ดื่มเบียร์บ้าง ถ่ายอุจจาระทุกวัน ปัสสาวะไม่บ่อย เพราะดื่มน้ำน้อยก็ไม่รู้จะเอาปัสสาวะมาจากไหน โดยปกติแล้วน้ำหนักตัวอย่างผู้ป่วยท่านนี้ต้องดื่มน้ำเกือบ 8-10 แก้วต่อวัน ถึงจะทำให้เลือดเดินได้ดี เลื่อดจะได้ไม่หนืดไม่ข้น และเลือดจะได้พาอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่ายกายได้
ผมลองจับตัวเขาดู ช่วงบนของร่างกายมีอาการร้อนบ้าง แต่ช่วงล่างตั้งแต่ท้องน้อยลงนี่เย็นเยือกเลย เท้าซึ่งปกติจะต้องมีสีแดงหรือสีชมพูแสดงว่าเลือดไหลได้ดี แต่เท้าของเขาสีซีดขาวเลย ไม่มีเลือด ขาไม่มีกำลัง ขาหนัก เหมือนท่อนไม้ไม่มีชีวิตชีวา แสดงว่าเลือดลมไหลฝืดมาก ผมลองจับเส้นชีพจรที่ขาหนีบ ก็พบว่าเส้นเลือดเต้นได้ค่อย และน้อยมาก
ดูจากพฤติกรรมแล้วอาการทั้งหมดแล้ว ก็สรุปได้ว่า การดื่มน้ำที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เลือดข้นและหนืด เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายแล้วไม่ดี ถึงแม้จะมีหมอนวดที่เก่งแค่ไหนก็แล้วแต่ คงไม่สามารถช่วยเขาได้ ถ้าเขาไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของเขาเอง ถ้าไม่เปลี่ยนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ขาของเขาก็จะเดินไม่ได้ ต่อมาศีรษะก็จะมีปัญหาเพราะเลือดไม่สามารถขึ้นไปเลี้ยงสมองได้เลย
คนไข้อีกรายเป็นผู้หญิงครับ เป็นแม่บ้าน มีอาการชา มือชา แขนชา หัวไหล่ชา ปวดหัวเข่า ไปโรงพยาบาล หมอก็ให้ยาคลายเส้นตลอด ผมตรวจดูลิ้นของคนไข้แล้วพบว่าลิ้นแห้ง เป็นฝ้าเหลือง แสดงว่ามีอาการร้อนชื้นข้างใน เป็นความดัน นอนไม่ค่อยหลับ ตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่ง แล้วก็ไม่ทานอะไร มาทานเอาตอนสิบเอ็ดโมงถึงเที่ยง กว่าจะทานอีกทีก็ตอนเย็นจะดื่มน้ำก็ตอนทานอาหาร ดื่มน้ำเย็นใส่น้ำแข็งตลอด วันๆหนึ่งก็ไม่ค่อยได้ดื่มน้ำเลย พฤติกรรมเหมือนผู้ป่วยท่านแรกเลยครับ
จากที่ผมได้ตรวจดูแล้ว ขาแข็งมาก หนัก ยกแทบไม่ขึ้น ไม่มีเลือดเลยเหมือนท่อนไม้ คอก็แห้ง นี่เป็นตัวอย่างของอาการป่วยที่เกิดจากการดื่มน้ำที่ไม่ถูกต้อง คนเราปกติแล้วต้องดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว แต่เขาดื่มเพียง 3 แก้วต่อวัน แล้วอย่างนี้จะมีเลือดไหลไปเลี้ยงบ่า เลี้ยงไหล่ เลี้ยงแขนได้อย่างไร แค่เลี้ยงตัวก็จะไม่มีอยู่แล้ว ยิ่งขาแล้วจับชีพจรดูก็เต้นได้น้อยมาก เลือดแทบไม่ไหลเลย ดังนั้นขาของเขาจึงเกิดปัญหา มีอาการปวด
การบำบัดรักษาให้ผู้ป่วยท่านนี้ ก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาเสียใหม่ โดยให้ทั้งสองท่านดื่มน้ำให้มากขึ้น วันละประมาณ 10 แก้ว เช้าตื่นมาก่อนแปรงฟันก็ดื่มน้ำอุ่นซัก 2-5 แก้ว จะช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น การหมุนเวียนของน้ำก็จะดีขึ้น อาการต่างๆก็จะดีขึ้น เพราะว่าน้ำจะพาเลือดซึ่งเป็นอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายก็จะได้รับอาหาร เมื่อได้รับอาหารแล้วมันก็จะทำงานไปตามหน้าที่ของมัน เป็นการปลุกอวัยวะต่างๆให้ลุกขึ้นมาทำงานได้ปกติ คือการสร้างพลังบำบัดให้ร่างกายเรา โดยไม่ต้องไม่พึ่งยามากนัก
จะมีบ้างบางกรณีที่ต้องใช้ยา เช่น ยาคลายเส้น เพื่อให้ขับถ่ายเอาของเสีย เอาลม เอาเสมหะ เอาอุจจาระออกจากร่างกาย เพื่อให้รับของใหม่ได้เต็มที่ ของใหม่ก็จะถูกสร้างเป็นอาหาร เปรียบเสมือนว่าถ้าร่างกายสกปรกเกินไป ก็จะมีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์เสียๆ อยู่ ถ้าไม่เอาของเสียออกจากร่างกายแล้ว เราจะใส่อะไรลงไป เชื้อโรคเหล่านั้นก็จะทำให้ของดีๆเสียหมด แต่ถ้าเราเปลี่ยน เอาของไม่ดีออกจากร่างกายเสียก่อน อาหารที่ทานเข้าไปก็จะไปสร้างจุลินทรีย์ที่ดีๆขึ้นมา ถ้าเราใส่ของดีเข้าไปร่างกายก็มีสุขภาพดีตลอด ของเสียที่ค้างอยู่ในร่างกายก็จะถูกลากออกไปอยู่ที่ว่าพวกใครมากกว่ากัน
ถ้าพวกดีมากร่างกายก็จะได้ของดี ถ้าพวกไม่ดีเยอะกว่าร่างกายก็จะได้แต่ของไม่ดีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยวิธีง่ายๆแค่นี้ครับ เอาของเสียออกจากร่างกาย ผลัดเก่าเป็นใหม่ โรคภัยต่างๆก็จะค่อยๆดีขึ้นเองครับ
อ่านแล้วต้องรีบดื่มน้ำเลย
เพราะเป็นคนไม่ค่อยดื่มน้ำเหมือนกัน
ถึงว่าซีบางครั้งก็มีอาการคล้าย ๆ ที่ผู้เขียนบอกไว้บางอย่าง