Author Archives: ชิตพงษ์ วุทธานันท์

คลิปคุณพงษ์พัฒน์ บนเวทีรางวัล “นาฏราช”

พ่อเป็นเสาหลักของบ้าน
บ้านของผมหลังใหญ่มาก
เรา อยู่กันหลายคน
ผมเกิดมาเราก็อยู่กันอย่างสงบมานาน
บรรพบุรุษของพ่อ เสียเหงื่อ เสียเลือด
เอาชีวิตเข้าแลก กว่าจะได้บ้านหลังนี้มา
จนมา ถึงวันนี้ พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน
ดูแลความสุขของทุกๆ คนในบ้าน
ถ้ามีใครสักคนโกรธใครมาก็ไม่รู้
ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมา ก็ไม่รู้
แต่พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ
คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน
ผม จะเดินไปบอก คนๆ นั้นว่า
ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว
จงออกไปจากที่นี่ ซะ! เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ
ที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ผมรักในหลวงครับ
และ ผมก็เชื่อว่าทุกคนก็รักในหลวงเหมือนกัน

ผมเชื่อว่าเรามีสีเดียวกัน ศีรษะนี้เรามอบให้พระเจ้าแผ่นดิน!!

อ๊อฟ พงษ์พัฒน์
16/05/2553
งานมอบรางวัลนาฏราช 2553
Share

ธรรมะ 4 ประการ โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

ธรรมะ 4 ประการ

1. อย่าเป็นนักจับผิด คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ” กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก ” คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส ” จิตประภัสสร ” ฉะนั้น “จงมองคน มองโลกในแง่ดี แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข ”

2. อย่ามัวแต่คิดริษยา ” แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน ” คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า ” เจ้ากรรมนายเวร ” ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอนความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ” ไฟสุมขอน ” ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี ” แผ่เมตตา ” หรือ ซื้อโคมมา แล้ว เขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป

3. อย่าเสียเวลากับความหลัง 90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ” ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น ” มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไป ด้วยความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ” อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน ” อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี “สติ” กำกับตลอดเวลา

4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ “ตัณหา” ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่ เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ “ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม” ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ใส่เพื่อความโก้หรูคุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์ เราต้องถามตัวเองว่า ‘เกิดมาทำไม’ ‘คุณค่าที่แท้จริง ของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา “แก่น” ของชีวิตให้เจอ คำว่า “พอดี” คือ ถ้า “พอ” แล้วจะ “ดี” รู้จัก “พอ จะมีชีวิต อย่างมีความสุข…

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี

Share

ปัสสาวะบอกโรค

ปัสสาวะเป็นสิ่งที่ขับถ่ายออกมาจากร่างกาย โดยไตจะกรองเอาของเสียและสิ่งที่มากเกินพอออกจากเลือด และขับออกมาเป็นปัสสาวะ ถ้าไตไม่ทำงาน จะมีของเสียคั่งในเลือด ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน สะอึก หอบเหนื่อย บวม เป็นต้น

ปัสสาวะเป็นสิ่งที่ช่วยบ่งบอก โรคได้หลายชนิด เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคตับ โรคกระเพาะ ปัสสาวะอักเสบ โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
การสังเกตปัสสาวะ ของตนเอง โดยดูจาก จำนวน สี ความขุ่น และกลิ่นของปัสสาวะ ก็จะทำให้ทราบถึงความผิดปกติหลาย ๆ อย่างของร่างกายได้เช่น

⇒ จำนวนของปัสสาวะ
คน ปกติจะถ่ายปัสสาวะวันละ 3 ถึง 5 ครั้ง ควรถ่ายปัสสาวะส่วนใหญ่ใน เวลากลางวัน ตั้งแต่ตื่นนอนเช้าถึงก่อนเข้านอน ส่วนกลางคืนหลังเข้านอนแล้วไม่ควรถ่ายปัสสาวะอีกจนถึงเช้า นอกจากจะดื่มน้ำมากหรือในเด็กเล็ก หรือคิดมาก นอนไม่หลับ อาจถ่ายปัสสาวะในเวลากลางคืนได้อีก
การถ่ายปัสสาวะบ่อยๆ อาจเป็นเพราะ ความวิตกกังวลซึ่งกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่ได้เป็นโรคไต หรือโรคของทางเดินปัสสาวะก็ได้
ถ้าปัสสาวะบ่อย เป็นประจำกะปริบกะปรอย อาจเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลัน หรือเป็นโรคไตพิการเรื้อรัง

ปกติเด็กอายุ 1 ถึง 6 ขวบ จะถ่ายปัสสาวะวันหนึ่งไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามส่วนของหนึ่งลิตร (ประมาณ 1 แก้วครึ่ง) และไม่ควรมากกว่าหนึ่งลิตร
เด็กอายุ 6 ถึง 12 ขวบ ควรถ่ายปัสสาวะวันหนึ่งไม่น้อยกว่าครึ่งลิตรและไม่ควรเกินสองลิตร
ผู้ใหญ่ ควรถ่ายปัสสาวะวันละเกือบลิตร และไม่ควรเกินสองลิตร
ถ้าถ่าย ปัสสาวะน้อยไปส่วนใหญ่เกิดจาการดื่มน้ำน้อย หรือเกิดจากการเสียน้ำทางอื่นเช่น เหงื่อออกมาก ท้องเดินท้องร่วง อาเจียนมาก เป็นต้น ส่วนน้อยเกิดจากโรคไต โรคหัวใจ และอื่น ๆ
ถ้าถ่าย ปัสสาวะมากไปส่วนใหญ่มักเกิดจากาการดื่มน้ำมาก หรือพบในโรคเบาหวาน เบาจืด โรคเกี่ยวกับระบบประสาท โรคไตพิการเรื้อรังบางระยะ การกินยาขับปัสสาวะ เป็นต้น

บางครั้งพบว่าไม่มีปัสสาวะเลยหรือทั้ง วันถ่ายปัสสาวะได้น้อยกว่า 1 ใน 10 ส่วนของลิตร (น้อยกว่า 1 ถ้วยแก้ว) ซึ่งอาจเกิดจากการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ, โรคเป็นพิษเนื่องจากปรอท, โรคไตอักเสบอย่างรุนแรง, ภาวะช็อค (เลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ) เป็นต้น
สำหรับอาการผิดปกติในการขับปัสสาวะ เช่น ปวดท้องน้อยในขณะถ่ายปัสสาวะ แสบที่ช่องถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะแล้วรู้สึกไม่สุดอยากจะถ่ายอีกทั้ง ๆที่ไม่มีปัสสาวะ ปัสสาวะขัด อาจมีการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

⇒สีของปัสสาวะ
ปัสสาวะ ปกติมีสีเหลืองอ่อนเหมือนฟางข้าว ถ้าดื่มน้ำน้อย ปัสสาวะก็น้อยทำให้สีเข้มขึ้นถึงสีเหลืองอำพัน ถ้าดื่มน้ำมากปัสสาวะ ก็มากทำให้สีอ่อนลง จนเหมือนไม่มีสีได้

ถ้าปัสสาวะมีสีผิด ปกติไปจากนี้ เช่น
สีเหลืองอำพันแดง อาจเกิดจากสีของยูโรบิลิน ซึ่งเกิดจากการที่เม็ดเลือดแดงในเส้นเลือดแตกมากกว่าปกติ

สี เหลืองน้ำตาลหรือเหลืองเขียว มีฟองสีเดียวกับน้ำปัสสาวะ อาจเป็นสีของน้ำดี จะพบในภาวะดีซ่านของโรคตับหรือท่อน้ำดี

สี แดงหรือสีน้ำล้างเนื้อ อาจเป็นสีของเลือดซึ่งออกมาจากบาดแผลส่วนใดส่วนหนึ่งของทางเดินปัสสาวะ อาจเกิดจากนิ่วหรือเกิดจากการอักเสบหรืออาจปนเปื้อนมาจากปากช่องคลอดซึ่ง เป็นรอบเดือนของผู้หญิงก็ได้

สีคล้ายน้ำนมอาจเป็นสีของหนอง ซึ่งเกิดจากการอักเสบของทางเดินปัสสาวะหรืออาจเป็นสีของไขมัน ซึ่งเกิดจากการที่ท่อน้ำเหลืองอุดตัน เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเท้าช้าง

อาหาร และยาบางอย่างทำให้สีปัสสาวะเปลี่ยนไป แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นสีที่เป็นโรค เช่นกินมะละกอสุกจำนวนมาก หรือยาขับปัสสาวะบางอย่างจะทำให้ปัสสาวะเป็นสีเหลืองส้ม ยาที่มีส่วนผสมเมทิลีนบลู จะทำให้ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน เมื่อผสมกับสีเหลืองของปัสสาวะอาจเพี้ยนไปเป็นสีเขียวได้ ยาบางอย่างทำให้ปัสสาวะเป็นสีแดงแต่ไม่ขุ่น หรือกินอาหารที่ผสมสีเช่น ไส้กรอก ขนมใส่สีบางอย่าง ทำให้ถ่ายปัสสาวะมีสีต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน

⇒ ความขุ่นของปัสสาวะ
ปัสสาวะที่ถ่ายใหม่ ๆจะใส ถ้าตั้งทิ้งไว้จะขุ่นได้
เนื่องจากปัสสาวะเป็นอาหารที่ดีสำหรับแบคทีเรีย แบคทีเรียจึงเจริญเติบโตขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นมากมายอย่างรวดเร็ว ทำให้ปัสสาวะขุ่นได้
สาเหตุความขุ่นอีกอย่างหนึ่งคือแบคทีเรียจะเปลี่ยน ยูเรียในปัสสาวะให้เป็นแอมโมเนีย แอมโมเนียจะทำให้ปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นด่าง ด่างก็จะช่วยตกตะกอนของสารบางอย่าง เช่น พวกฟอสเฟท ยูเรท ทำให้ปัสสาวะขุ่นได้ เช่นเดียวกัน ถ้าปัสสาวะที่ถ่ายใหม่ขุ่น เช่น ขุ่นและมีสีแดง ปัสสาวะอาจมีเลือดปนปัสสาวะขุ่นคล้ายนมอาจเกิดจากหนองหรือไขมัน

บาง ครั้งความขุ่นของปัสสาวะเกิดจากอาหารและยา ซึ่งเป็นสาเหตุของการตกตะกอนของสารบางชนิดได้เช่นเดียวกัน เช่น ยาซัลฟา กินแล้วไม่ได้ดื่มน้ำมาก ๆ อาจจะตกตะกอนเป็นผงหรือผลึก ทำให้ปัสสาวะขุ่น ถ้าอาการปวดท้อง ปวดดื้อ จนถึงปวดรุนแรงเป็นพัก ๆ จนบิด ปัสสาวะน้อยและขุ่น จำทำให้นึกถึงโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ

⇒ กลิ่นของปัสสาวะ
ปกติปัสสาวะเมื่อถ่ายออกมาสด ๆ จะมีกลิ่นหอมกำยาน และถ้าตั้งทิ้งไว้ค้างคืน จะมีกลิ่นแอมโมเนีย
อาหารและยาทำให้ กลิ่นปัสสาวะเปลี่ยนแปลงได้ เช่น สะตอ สตือ ทำให้ปัสสาวะมีกลิ่นฉุน

กลิ่น ปัสสาวะใหม่ ๆสด ๆ บางกลิ่นสามารถเดาได้ว่าเป็นปัสสาวะของโรคอะไร เช่น
กลิ่น น้ำนมแมวมักจะพบในปัสสาวะของคนที่เป็นเบาหวานที่เป็นมากและไม่ได้ รักษา
กลิ่นเหม็นเน่าเกิดจากการติดเชื้อมักจะพบปัสสาวะ ขุ่นเป็นหนองด้วย
กลิ่นแอมโมเนียของปัสสาวะใหม่สด แสดงถึงการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

⇒ถ้า ปัสสาวะผิดปกติจะเก็บไปตรวจทำอย่างไร
1.ก่อนที่จะเก็บปัสสาวะ ควรจะต้องทราบเสียก่อนว่า จะเก็บเพื่อตรวจหาอะไร เช่น ต้องการดูสีควรงดอาหารและยาที่ทำให้เกิดสีก่อนสักวันสองวัน เป็นต้น

2.ก่อน ถ่ายปัสสาวะเพื่อเก็บตรวจ ควรล้างปากช่องอวัยวะที่จะถ่ายให้สะอาด หรือจะใช้สำลีชุบน้ำเช็ค ถ้าเป็นหญิงต้องเช็ดจากหน้าไปหลังเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากช่องคลอดหรือ ทวารหนัก

3.ควรเก็บปัสสาวะครั้งแรกที่ตื่นนอนเช้า ก่อนกินอาหารหรือน้ำใด ๆ เพราะมีความเข้มข้นมากที่สุด

4.ควรเก็บ ปัสสาวะระยะกลาง ๆ ของการถ่ายมาดู ระยะนี้ปัสสาวะออกมาจากกระเพาะปัสสาวะ ส่วนระยะเริ่มแรกถ่ายกับตอนสุดท้ายที่ขมิบ ควรจะใช้ภาชนะแยกอีกใบหนึ่งหรือสองใบรองไว้ สังเกตการขุ่น ซึ่งอาจจะปนเปื้อนมาจากช่องคลอด ไม่ได้เกิดจากความขุ่นของปัสสาวะก็ได้

5.ควร ส่งตรวจทันทีเมื่อถ่ายใหม่ ๆ ภายใน 3 ชั่วโมง

เรามาหนีห่างจากโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะกัน

1.อย่า กลั้นปัสสาวะเมื่อเวลาปวด ถ้ากลั้นบ่อย ๆ จะทำให้เกิดการอักเสบในกระเพาะปัสสาวะและถ้ากลั้นต่อไปอาจทำให้เกิดการ อักเสบถึงกรวยไตและในที่สุดถึงไตได้

2.การ กินยาที่อาจเป็นพิษต่อไต ต้องรู้วิธีแก้ไข เช่น ยาซัลฟา ถ้ากินยานี้แล้วดื่มน้ำน้อยไป จะทำให้ยานี้ตกตะกอนในไต หรือในส่วนต่าง ๆ ของทางเดินปัสสาวะได้ เมื่อจะกินยาเหล่านี้ ต้องดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อละลายยาไม่ให้ตกตะกอน แต่ถ้าผู้ป่วยโรคไตที่มีปัสสาวะน้อยและห้ามดื่มน้ำมาก ก็ไม่ควรใช้ยานี้

3.หญิง ที่ใช้กระดาษเช็ดเมื่อปัสสาวะเสร็จ อย่าเช็ดช่องถ่ายปัสสาวะด้วยกระดาษที่ไม่สะอาด และต้องเช็ดจากหน้าไปหลัง มิฉะนั้นอาจจะติดเชื้อแบคทีเรียจากช่องคลอดหรือทวารหนักได้

4.อย่า กินอาหารเค็มจัดเสมอ ๆ

5.พยายาม ทำความสะอาดบริเวณขับถ่ายปัสสาวะอยู่เสมอ (โดยใช้น้ำสะอาดทั่วไป) ถ้าปล่อยให้สกปรกแล้ว อาจมีเชื้อโรคเข้าไปทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และอาจลุกลามไปถึงไตได้.

ที่มา http://www.doctor.or.th/node/6076

Share