Author Archives: ชิตพงษ์ วุทธานันท์

“โรคความดันต่ำ” ในมุมมองแพทย์จีน

มีคนขอให้เขียนเรื่องความดันโลหิตต่ำ ซึ่งผมเห็นว่าแพทย์จีนมีมุมมองที่น่าสนใจดีเลยเอามาแบ่งปันกันครับ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจกันก่อนว่าความดันต่ำคืออะไร? ความดันโลหิตต่ำก็คือ การใช้เครื่องวัดความดันวัดค่าออกมาได้ต่ำกว่า 100/60 อาการที่มักพบคือ เป็นคนที่ไม่มีแรง เวียนหัว หัวหมุนและคลื่นไส้อาเจียนได้ง่าย

ทีนี้มาดูว่าแพทย์จีนมองความดันโลหิตต่ำว่าอย่างไร

คำตอบคือ ในศาสตร์แพทย์จีนนั้น ไม่มีคำว่า “ความดันโลหิต”ครับ เพราะฉะนั้นไม่ว่ามันจะสูงหรือต่ำ เราไม่สน มันไม่มีผลในการตัดสินใจเลือกใช้ยารักษา ที่เราสนใจคืออาการของคุณต่างหากนั่นก็คือ “เป็นคนที่ไม่มีแรง เวียนหัว หัวหมุนและคลื่นไส้อาเจียนได้ง่าย”

เวลาหมอจีนรักษาโรคนั้นจะเน้นพิจารณาที่อาการเป็นหลัก แล้วใคร่ครวญว่าจากอาการที่เกิดขึ้นนี้ได้สะท้อนให้เราเห็นว่าอวัยวะภายในส่วนใดทำงานผิดปกติบ้าง แล้วจึงเปิดยา เช่น ปวดเมื่อยหลังจะนึกถึงไต ตาแดงจะนึกถึงตับหรือว่าธาตุไฟ เจ็บจุกสีข้างจะนึกถึงตับแม้ว่าจะเป็นสีข้างด้านซ้ายก็ตาม (ตับอยู่ทางขวา) นอนไม่หลับจะนึกถึงหัวใจและเลือด เป็นต้น (อวัยวะที่กล่าวถึงคืออวัยวะในทางแพทย์จีน ไม่ใช่ตับ ไต หัวใจจริงๆในทางสรีระวิทยานะครับ) จากอาการของความดันโลหิตต่ำที่ว่ามาข้างบนนั้นแพทย์จีนจะบอกว่า

“เลือดและลมปราณของม้ามไม่เพียงพอ”

ม้ามในแพทย์จีนเป็นแหล่งผลิต “สารอาหาร” (เลือดและลมปราณ) ถ้าม้ามไม่แข็งแรง “สารอาหาร”ก็จะผลิตได้ไม่เพียงพอ ลมปราณพร่องก็จะเป็นคนไม่มีแรง เหนื่อยง่าย เลือดพร่องก็จะเวียนหัว อันนี้อธิบายง่ายๆนั่นแหละครับว่าเลือดไปเลี้ยงไม่พอ เลือดพร่องที่บอกนี้ไปตรวจเลือดอาจจะไม่เจออะไรผิดปกติเลยก็ได้ครับ

ในคนไข้บางรายมีอาการใจสั่น ใจเต้นเร็ว หมอจีนจะอธิบายว่าเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ (กรณีอธิบายคล้ายกับหัวใจขาดเลือดของแผนปัจจุบัน)

นอกจากอาการเหล่านี้ เลือดและลมปราณของม้ามไม่เพียงพอยังอาจจะก่อนให้เกิดอาการที่คุณคาดไม่ถึงได้อีก เช่น ท้องเสีย นอนไม่หลับ ฝันเยอะ หน้าซีด เลือดออกง่าย ประจำเดือนมาเยอะ หรือมาถี่ เป็นต้น

เพราะฉะนั้นถ้าผมตรวจ ผมจะไม่ได้ให้ความสนใจค่าความดันคุณเป็นหลักครับ บอกแล้วว่าหมอจีนเราไม่มีความดันโลหิต เมื่อผมรักษาให้อาการต่างๆของคุณหายได้นั่นนับเป็นการรักษาหายแล้ว แม้ว่าค่าความดันคุณจะคงเดิมเหมือนครั้งแรกที่มาหาผมก็ตาม

วิธีรักษา “ความดันต่ำ” นี้ เราก็จะบำรุงเลือด บำรุงลมปราณครับ แต่จะให้บอกว่าไปซื้อยาบำรุงยังไงนั้นคงบอกไม่ได้ เพราะในแต่ละคนไข้ก็จะมีความไม่สมดุลย์ที่ต่างกัน ต้องมาหาหมอพิจารณาเป็นรายคนไป ตรงนี้ผมจะบอกวิธีกายบริหารง่ายๆที่สามารถบำรุงลมปราณได้ให้ไปทำกันแทนครับ

วิธีการก็ง่ายมากเลยครับ หาจุด 足三里 (จู๋ซานหลี่) ที่บริเวณหน้าแข้ง แล้วก็กำมือทุบๆบริเวณจุดนี้ซักสิบกว่าที ทำทั้งสองขาก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ทำทุกวันใช้เวลาแค่ไม่เท่าไหร่เองครับ จุดจู๋ซานหลี่นี้เป็นจุดบนเส้นลมปราณกระเพาะครับ พอกระเพาะแข็งแรงก็กินข้าวอร่อย ดูดซึมสารอาหารดี ก็นำไปผลิตเป็นเลือดและลมปราณให้เราได้ครับ ถึงขั้นมีคำกล่าวว่ากระตุ้นจุดนี้มีค่าเท่ากับกินไก่ตุ๋นเลยทีเดียว

วิธีหาจุดนี้ ถ้าเรางอเข่า เราจะรู้สึกว่าตรงหัวเข่าเรามีรอยบุ๋มอยู่สองข้าง ลองใช้มือกดๆดูก็จะเจอครับ ในรูปจุดที่อยู่เหนือนิ้วชี้คือรอยบุ๋มด้านนอก ด้านในจะมีอีกบุ๋มนึง จาก นั้นก็เอานิ้วสี่นิ้วประกบชิด โดยเอานิ้วชี้วางไว้ใต้ระดับรอยบุ๋มที่หัว เข่า ระดับที่นิ้วก้อยแนบอยู่คือระดับของจุดจู๋ซานหลี่ เอาอีกมือมาลองลูบใต้นิ้วก้อยจะเจอกระดูกหน้าแข้ง จู๋ซานหลี่จะอยู่ด้านนอกของกระดูกหน้าแข้งถัดไปประมาณ 1.5 ซม.โดยประมาณ (จุดที่อยู่ใต้นิ้วก้อยในรูปก็คือจู๋ซานหลี่ครับ) ขาทั้งสองข้างหาเหมือนกันครับ หาเจอก็ใส่ไม่ยั้งไปเลยครับ คิดซะว่ากำลังกินไก่ตุ๋นอยู่ละกัน เวลาเคาะจะรู้สึกว่าบริเวณนั้นจะชาๆ เสียวๆ นั่นแสดงว่ามาถูกทางแล้วครับ

ท่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนความดันต่ำทำนะครับ ใครๆก็ทำได้ทั้งนั้นครับ เหมือนเป็นการบำรุงร่างกายทางนึง ถือซะว่าวันนี้หมอเชนใจป้ำเลี้ยงไก่ตุ๋นทุกคน ซัดกันให้เต็มคราบเลยนะครับ อิๆ

เพิ่มเติมนิดหน่อยสำหรับเรื่องความเข้าใจผิดอย่างนึงเกี่ยวกับการกินแอลกอฮอลล์รักษาโรคความดันต่ำ คือเขาคิดว่าแอลกอฮอลล์ทำให้เลือดลมเดิน มันจะได้พาเลือดลมไปเลี้ยงทั่วร่างกาย แต่อย่างที่บอกว่าในทางแพทย์จีนมันคืออาการเลือดและลมปราณไม่เพียงพอ น้ำไม่เต็มสายยาง ต่อให้เปิดแรงดันให้น้ำเดิน มันก็ไปเลี้ยงที่อื่นๆได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว พอแรงดันหายไป อาการก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุครับ แถมกินแอลกอฮอลล์มากไปก็ไม่ดีอีกครับผม

โดย คุณหมอเชน http://aunlamun.exteen.com/20090605/entry

Share

สิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี

ช่วงสองสามปีก่อน ผมชอบดูหมอดูมากพอสมควร
ยี่ห้อไหนที่บอกว่าแม่นโครตพ่อ จะตามไปดูหมด (ถ้าไปได้)

จากที่เจอมา

60% มักจะทายอดีตแม่น (~2-5 ปี ก่อน)
40% มักจะทายปัจจุบัน (~2 เดือนก่อน- ปัจจุบัน)
5% ที่มักจะทายอนาคตแม่น (1 เดือนข้างหน้าเป็นต้นไป)

หมอดูมักจะบอกทำนองว่า เฮ้ย อีก 1 เดือนดวงจะดีมาก
หรือ คุณต้องไปทำบุญบ้างนะ อาทิตย์หน้าดวงตกมาก

เก่งหน่อยก็จะลงรายละเอียดเลย ว่า
จะได้เงินก้อนใหญ่ หลักหมื่น
จะเจอคนรัก ขาวหมวยสวยเอ็กซ์
จะขี้ไม่ออกสามวัน ระวังไว้
บลาบลาบลา…

จะแม่นไม่แม่นก็ว่ากันไป ตามเรื่องตามราว
ตรงนั้นช่างมัน เรื่องของรายละเอียด

บางทีผมก็คิดเหมือนกันนะว่า
เกณฑ์อะไรที่จะทำให้เรารู้ด้วยตนเองว่า
ช่วงนี้เราดวงดี เราดวงตก?

หลายครั้งผมมักพบว่า ตอนนี้ผมเจอสิ่งไม่ดี
แต่เพราะสิ่งไม่ดีนั่นแหละ พาไปหาสิ่งดี
หรือตรงกันข้ามกันที่เจอสิ่งดีแต่พาไปหาสิ่งไม่ดี

คล้ายๆ กับ หนังเรื่อง YES MAN
(ใครยังไม่เคยดู แนะนำให้ดูครับ สอนอะไรได้หลายอย่าง)

ผมรู้สึกคิดได้ว่า

ไอ้สิ่งที่ดี มันคือ สิ่งที่เราถูกใจ
และ
ไอ้สิ่งที่ไม่ดี มันคือ สิ่งที่เราไม่ถูกใจ

ทั้งๆ ที่โลกมันก็เป็นไปของมันแบบนั้นตามปัจจัยต่างๆ นานาอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ..

เช่น คนเล่นไพ่ วันนี้ได้เงินบอกว่าดวงดีเพราะถูกใจตน
แต่อีกวันเสียเงิน บ่นดวงตกเพราะไม่ถูกใจตน
ผมชอบประโยคหนึ่งนะ และอยากแบ่งปันให้คุณชอบด้วย

“สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ดีเสมอ”

ไม่ว่ามันจะดี หรือ เลว
แต่เราก็ผ่านมันมาแล้ว
จนเราเป็นเราได้แบบในทุกวันนี้

มันไม่ดีหรอ?

สิ่งไม่ดีที่ผ่านมา ก็เป็นบทเรียนชีวิต
สิ่งดีที่ผ่านมา ก็เป็นบทเรียนชีวิต

มันก็ได้เรียน รู้เหมือนกัน

ต่างกันแค่ คุณพอใจหรือไม่พอใจแค่นั้นเอง

หากเป็นตะวันตก จะดีหรือไม่ดี คงบอกว่าให้คุณ think positive เข้าไว้

หรือคุณคิดอย่างไร?

Share