Author Archives: ชิตพงษ์ วุทธานันท์

ทำงานอย่างเป็นสุขภายใต้ผู้บริหารไร้หลักการ

ดร.บวร ปภัสราทร
คอลัมภ์นิสต์ ก้าวไกลวิสัยทัศน์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

love_small

หาก ได้ทำงานกับผู้บริหารที่มีหลักการ จะทำสิ่งใดก็รู้ได้ล่วงหน้าว่าควรทำหรือไม่ควรทำ เพราะมีหลักการบ่งบอกไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น เมื่อรู้ว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ การทำงานก็เป็นไปได้โดยราบรื่น เมื่องานราบรื่นคนทำงานย่อมรู้สึกเป็นสุขไม่ทุกข์ไปกับการทำงานนั้น แต่หากโชคร้ายต้องทำงานภายใต้ผู้บริหารที่ไร้หลักการ จะทำอะไรก็คาดเดาได้ยากว่าทำแล้วถูกหรือผิดกันแน่ และที่แย่ไปกว่านั้น ก็คือ ทำอย่างเดียวกันในวันนี้ ผู้บริหารบอกว่าทำได้ถูกต้อง แต่วันหน้ากลับบอกว่าทำไม่ได้เพราะผิดหลักการ ผู้คนที่ต้องปฏิบัติงานอยู่ภายใต้ความไร้หลักการเช่นนี้ ย่อมรู้สึกว่ามีความไม่แน่นอนในการทำงาน ก้าวเดินไปข้างหน้าแต่ละก้าวนั้นอาจจะถูกหรืออาจจะผิด ก็มิอาจคาดเดาล่วงหน้าได้เลย เมื่อมีความไม่แน่นอน การทำงานก็กลายเป็นการสร้างความเครียด ความสุขในการทำงานย่อมไม่มี

หากเราสังเกตดูดีๆ จะเห็นได้ไม่ยากว่าผู้บริหารคนใดมีหลักการหรือไม่มีหลักการในการบริหารงาน ผู้บริหารที่มีหลักการนั้นจะมีตรรกะในการทำงานที่ชัดเจน ซึ่งตรรกะอันนี้เองที่ทำให้เกิดหลักการที่ชัดเจนในการทำงานขึ้นมา การบริหารงานจึงมีขั้นตอนที่ชัดเจนและแต่ละขั้นตอนในการทำงานจะเป็นเหตุเป็น ผลระหว่างกัน งานใดควรเกิดขึ้นก่อน งานใดต้องเกิดขึ้นตามมา จะมีตรรกะอธิบายได้อย่างชัดเจนจนดูคล้ายกับว่ามีกฎกติกาในการบริหารงานวาง ไว้อย่างชัดเจน ถ้าเข้าใจกฎกติกาในการบริหารงานนี้แล้ว ก็จะสามารถทำงานร่วมกับผู้บริหารได้อย่างสบายใจ

ในทางตรงข้าม ผู้บริหารที่ไร้หลักการนั้นส่วนใหญ่มักใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางในการบริหารงาน แทบทุกเรื่อง ตนเองรู้สึกว่าควรทำอย่างไรก็บริหารงานไปตามความรู้สึกของตน ซึ่งแน่นอนว่า ความรู้สึกของคนเรานั้นปรับเปลี่ยนได้เสมอ วันหนึ่งอาจรู้สึกว่างานนี้ดีสมควรกระทำ อีกวันหนึ่งเกิดอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาก็กลับรู้สึกว่างานเดิมนั้นเป็นงานที่ไม่ ดี ไม่สมควรกระทำ ดังนั้น หากจะว่าไปแล้วผู้บริหารที่ใช้ความรู้สึกของตนเองเป็นศูนย์กลางในการบริหาร งานนั้น เรียกได้ว่ามีหลักการในการทำงานเช่นเดียวกัน แต่เป็นหลักการที่บอกว่าความคิดความรู้สึกของฉัน คือ กฎกติกาที่ใช้ในการบริหารงานขององค์กรนั่นเอง

ผู้คนที่ต้องทำงานกับผู้บริหารที่ไร้หลักการเช่นนี้ ย่อมทำงานอยู่ภายใต้ความเครียดอันเกิดจากความไม่แน่นอน คือ ไม่รู้ว่าผู้บริหารจะเอาอย่างไรกันแน่ คนใดก็ตามที่ทำงานภายใต้ความไม่แน่นอนนั้น ความสุขในการทำงานหาได้ยากเต็มที

ถ้าต้องการมีความสุขในการทำงานภายใต้ผู้บริหารที่ไร้หลักการ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเป็นผู้บริหารที่บริหารงานตามความรู้สึก ความชอบหรือความไม่ชอบของตนเองเป็นสำคัญ เราต้องปรับเปลี่ยนความคิดพื้นฐานในการทำงาน จากเดิมที่เคยคิดว่าเราทำงานเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นกับ องค์กร ให้เปลี่ยนมาคิดใหม่ว่าเราทำงานตามที่ผู้บริหารเห็นสมควร โดยไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าสิ่งที่เรากระทำนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ขององค์กรหรือไม่ก็ตาม จากเดิมเคยมองว่าอนาคตขององค์กรจะต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ โดยมองดูจากหลักการที่ผู้บริหารใช้ในการบริหารองค์กร มองดูจากวิสัยทัศน์ที่ผู้บริหารได้ประกาศไว้ ให้เปลี่ยนมาเป็นเลิกมองอนาคตขององค์กรว่าจะเป็นอย่างไร เพราะมองไปก็ไม่เห็น เนื่องจากไม่มีหลักการใดๆ ไม่มีวิสัยทัศน์ใดๆ ปรากฏให้เห็นจากผู้บริหารที่ไร้หลักการ เห็นชัดๆ อยู่อย่างเดียว คือ สิ่งที่ผู้บริหารบอกกล่าวให้ทำในแต่ละวันนั่นเอง

ปกติแล้ว ถ้าจะเดินทางไปไหนโดยรู้ที่หมายปลายทางอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง ความกังวลในการเดินทางก็ไม่มี แต่ถ้าต้องเดินทางโดยที่ไม่รู้จุดหมายปลายทางที่ชัดเจน เดินทางไปก็กังวลไปว่าจะไปถึงไหนกันแน่ การเดินทางเช่นนี้ย่อมไม่มีความสุข แต่ถ้าปล่อยวางไปเสียบ้าง ตัดความกังวลเกี่ยวกับปลายทางออกไปให้หมด เดินทางไปเรื่อยๆ ตามแต่ผู้บริหารจะชี้ให้ไป ความกังวลในการเดินทางย่อมลดน้อยถอยลงไปบ้าง ถ้ายังทำใจไม่ได้ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าจุดหมายปลายทางในการทำงานที่ชัดเจน ภายใต้การบริหารงานแบบไร้หลักการนั้นไม่มี

ดังนั้น จึงต้องปรับเปลี่ยนนิสัยในการทำงานที่ต้องการทราบว่าปลายทางในการทำงานนั้น จะเป็นอย่างไร มาเป็นการทำงานไปวันหนึ่งๆ โดยไม่ใส่ใจที่หมายปลายทางสุดท้าย ทำเช่นนี้ได้เมื่อใดก็จะช่วยให้ลดความทุกข์จากการทำงานภายใต้การบริหารที่ ไร้หลักการได้ในเบื้องต้น แต่ข้อเสีย คือ ทำให้จากเดิมเคยเป็นคนที่ทำงานอย่างมีเป้าหมายชัดเจน กลายมาเป็นทำงานเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ไปวันหนึ่งๆ นั่นเอง

คนดีมีฝีมือมักอยากมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตขององค์กรว่าจะเดินหน้า ไปในทิศทางใด คนดีมีฝีมือทำงานโดยรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสำเร็จใน อนาคตให้กับองค์กร คนดีมีฝีมือจึงต้องการหลักการในการบริหารงานที่ชัดเจนจากผู้บริหาร โดยเฉพาะหลักการที่ใช้ในการกำหนดทิศทางไปสู่อนาคตขององค์กรนั้น ซึ่งลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นได้กับผู้บริหารที่มีหลักการเท่านั้น เพราะมีหลักการที่ใช้สำหรับกำหนดอนาคตร่วมกับผู้คนในองค์กร ผู้คนยอมรับได้นั้นเพราะว่าจะกำหนดอนาคตเป็นอย่างไรก็มีเหตุมีผลอธิบายได้ อย่างชัดเจน แม้จะมีความขัดแย้งทางความคิดในเรื่องอนาคตขององค์กร ก็มีหลักการที่จะใช้ตกลงกันได้ว่าทิศทางใดเป็นทิศทางสู่อนาคตที่ทุกคนยอมรับ เมื่อได้กำหนดอนาคตขององค์กรร่วมกัน มีการกำหนดหลักการในการทำงานสู่อนาคตนั้นไว้อย่างชัดเจน แต่ละคนก็สามารถทำงานได้โดยราบรื่น

ในทางตรงข้าม ถ้าผู้บริหารใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางในการทำงาน ผู้บริหารย่อมเป็นผู้เดียวที่กำหนดอนาคตขององค์กรโดยไม่มีเหตุผลว่าเหตุใด จึงต้องเดินหน้าองค์กรไปสู่อนาคตในทิศทางนั้น หากจะทำงานอย่างมีความสุขภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แล้ว จำเป็นต้องปล่อยวางความรู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตขององค์กรออก ไปให้หมดสิ้น จะไปทางไหนให้เป็นเรื่องของผู้บริหารเป็นคนชี้ทางลงมา แม้ตัวเราอยากจะไปทางตะวันตกเพราะเห็นว่าเป็นทิศทางที่ดี แต่ถ้าผู้บริหารบอกให้ไปทางทิศใต้ ก็ให้เดินทางไปในทิศทางนั้นโดยไม่ต้องใส่ใจว่าถ้าไปทางใต้แล้วองค์กรจะดี หรือจะเลวอย่างไร

ถ้าทำเช่นนี้แล้วรู้สึกว่าเป็นคนไม่ใส่ใจกับอนาคตขององค์กร ก็ขอให้ทำใจนึกต่อไปว่าเราทำได้ดีที่สุดสำหรับองค์กรเพียงเท่านี้ ภายใต้ความโชคร้ายที่ต้องอยู่กับผู้บริหารที่ไร้หลักการ จะได้ไม่ทุกข์ใจในระหว่างที่ต้องทำงานภายใต้ผู้บริหารแบบนี้

ref: http://www.bizhubweb.com/hr/03/03/2009/1411

Share

อากาศร้อน..กินอย่างไร..ไม่ให้ร้อน

หน้าร้อนปีนี้ มาเยือนเร็วกว่าที่ เคยนะคะ สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้หลายคนเกิดอาการเบื่ออาหาร อากาศร้อนยังทำให้อารมณ์เสีย หงุดหงิดได้ง่ายอีกด้วย การเลือกรับประทานอาหารให้ดี นอกจากจะช่วยคลายร้อนแล้ว ยังช่วยให้อารมณ์เย็นขึ้นได้อีกด้วย

หลายคนใช้วิธีดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ หรือรับประทานไอศกรีม ซึ่งจะช่วยแก้กระหายคลายร้อนได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่จะไม่ช่วยให้ร่างกายเย็นลงจากสภาพอากาศร้อนรอบๆ ตัวได้ ทางที่ดีควรอาบน้ำให้เย็นชื่นใจหรือรับประทานอาหารที่ช่วยให้ร่างกายระบาย เหงื่อได้โดยตรง

อาหารประเภทเนื้อสัตว์และไขมัน เป็นอาหารที่ต้องใช้พลังงานในการย่อยและการนำไปใช้สูงกว่าผักและผลไม้ การที่ทางเดินอาหารทำงานหนัก จะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกาย อาหารประเภทเนื้อและไขมัน รวมถึงอาหารทอด จึงเป็นอาหารที่รับประทานแล้วจะเกิดอาการแน่นท้อง อึดอัด ย่อยยาก ทำให้รู้สึกร้อนมากขึ้น ไม่ควรรับประทานมากในหน้าร้อน

ส่วน อาหารที่ไม่สร้างความร้อนเพิ่มขึ้น คือ ผักและผลไม้ที่ไม่มีแป้งมาก ดังนั้น จึงควรเน้นรับประทานผักและผลไม้เป็นหลักมากกว่าอาหารจำพวกแป้งและเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้พลังงานมากเกินความจำเป็นหากรับประทานมากเกินไป

พืชผักที่เหมาะจะรับประทานในหน้าร้อน ยกตัวอย่างเช่น
– มะระ เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย แก้ร้อนใน
– ฟักเขียว มีฤทธิ์เย็น คนจีนนิยมทำเป็นยาถอนพิษ ขับร้อนใน
– ผักกาดขาว ช่วยแก้อาการร้อนในได้
– ปวยเล้ง เป็นยาเย็น ช่วยขับร้อน แก้กระหาย
– ถั่วเขียว มีฤทธิ์ขับร้อนใน แก้กระหาย ขับปัสสาวะ

นอกจากนี้ เครื่อง เทศ ซึ่งมีสรรพคุณเป็นทั้งอาหารและเป็นยา ก็ยังช่วยคลายร้อนได้โดยอาศัยความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศ การกินเผ็ดทำให้มีเหงื่อออก เป็นการระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งจะช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย หลายประเทศในแถบร้อนจึงรับประทานอาหารรสเผ็ด เช่น แกงเผ็ด ผัดเผ็ดต่างๆ

ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ รับประทานทีละน้อย แต่รับประทานบ่อยๆ เมนู ที่นอกจากจะกินอร่อย ได้ประโยชน์ และยังช่วยคลายร้อนได้ ได้แก่ แกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ ต้มโคล้ง ยำต่างๆ น้ำพริกผักจิ้ม ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ส่วนของหวานก็ได้แก่ น้ำแข็งใส เฉาก๊วย ผลไม้ลอยแก้ว เลือกที่ไม่ใส่กะทิ

อากาศร้อนๆ คงไม่มีใครอยากดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ กันเท่าไรนัก แต่การดื่มเครื่องดื่มร้อน อย่างเช่น ชาร้อน จะทำให้เหงื่อออก ซึ่งเมื่อเหงื่อระเหย จะทำให้เกิดความเย็น แต่ก็ไม่ควรดื่มมากเกินไป เพราะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ จะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ยังมีน้ำสมุนไพรที่มีสรรพคุณคลายร้อน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ เช่น
– ใบบัวบก แตงโม ใบเตย ใบสะระแหน่ ช่วยดับกระหายและคลายความร้อนในร่างกาย
– น้ำตะไคร้ ช่วยขับเหงื่อ
– น้ำกระเจี๊ยบ ช่วยรักษาอาการร้อนในภายในช่องปาก
– น้ำมะนาว ช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า และขับเสมหะ
– น้ำมะพร้าว ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย
– น้ำมะตูม เป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มในหน้าร้อนมาแต่โบราณ เพราะนอกจากจะมีกลิ่นหอมชื่นใจ ช่วยแก้กระหายได้แล้ว ยังมีสรรพคุณในการทำลายเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง
– น้ำยาอุทัย เหยาะใส่น้ำเย็น ดื่มแล้วชื่นใจ มีสรรพคุณเช่นเดียวกับน้ำมะตูม

นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่ช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้อาการแน่น จุก เสียด ได้อีกด้วย หากไม่ชอบน้ำสมุนไพร อาจเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้คั้นสดๆ ไม่ใส่น้ำตาลและเกลือ หรือใส่แต่น้อย ก็จะช่วยแก้กระหายคลายร้อนได้เช่นกัน

สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องทำงานท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัดหรือออกกำลัง กายกลางแจ้ง ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร หรือประมาณ 4-6 แก้ว แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม แต่อย่าดื่มมากไปจนกระทั่งเกิดอาการจุก และควรดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้องอย่างน้อย 1-2 แก้ว เมื่อต้องออกจากบ้านในวันที่อากาศร้อนจัด

โดย เอมอร คชเสนี Manager Online

Share

ความดีที่ไม่สิ้นสุด คือ การอุทิศอวัยวะเมื่อยามสิ้นสูญ

“…ตามหลักศาสนานั้น ให้สิ่งใด ย่อมได้รับสิ่งดีมากอีกร้อยเท่าพันเท่า อย่าเชื่อว่า ถ้าบริจาคดวงตา จะทำให้ตาพิการ บริจาคแขนขา จะทำให้เสียส่วนนั้น ส่วนนี้ไป ถ้าให้แล้วจะมีผลออกมาเป็นความสมบูรณ์ ยิ่งให้ส่วนใด ของตนไป ความสมบูรณ์ จะมาเกิด…ตรงกันข้าม กับคนที่หลอกว่าให้ตาแล้ว จะไม่มีดวงตา ให้อวัยวะไปแล้ว จะพิการส่วนนั้นพิการส่วนนี้ เป็นเรื่องเข้าใจ ไม่ถูก เพราะถือว่า เป็นอุกฤษฎ์บารมี เป็นทานชั้นสูง เป็นปรมัตถ์ทาน ทานที่ บริจาคได้แม้กระทั่ง อวัยวะ เลือดเนื้อ ชีวิต ซึ่งถือ เป็นทานสูงสุด เป็นคนใจสูง เท่านั้นที่จะทำได้”

พระพิศาลธรรมพาที (พระพยอม กัลยาโณ) วัดสวนแก้ว
(รายการความรู้คือประทีป สถานีโทรทัศน์ ช่อง ๙ อ.ส.ม.ท. ๑๒ เม.ย.๒๕๓๗)

“…โดยพื้นฐานความเข้าใจว่า ชีวิตของมนุษย์ขึ้นอยู่กับพระเจ้า และมาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์มา จึงเป็นกรรมสิทธิ์ชีวิตมนุษย์ มนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าของตัวเอง เป็นข้อแรกที่สำคัญ ข้อที่สองคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับพระเป็นเจ้า และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อพูดถึงเรื่องการบริจาคอวัยวะขอแบ่งเป็น ๒ ตัวอย่าง คือ ขณะที่มีชีวิตอยู่ โดยหลักการเราทำไม่ได้ เพราะเป็นการทำให้ร่างกายเราพิการไป แต่ทำได้เพื่อความดี เพื่อช่วยเหลือชีวิตของคนอื่นให้รอด ส่วนอีกกรณีที่เมื่อเสียชีวิตไป การอุทิศชีวิตของตัวเองเพื่อการแพทย์ จะได้นำอวัยวะของเรา ไปช่วยชีวิต ของเพื่อน มนุษย์คนอื่น ที่รอรับอวัยวะเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่โดยธรรมเนียมของคาทอลิก จะเชื่อคำสอนที่ว่า เมื่อตายแล้วจะกลับเป็นขึ้นมาใหม่ โดยธรรมเนียมและการปฏิบัติเราไม่ได้ส่งเสริม และทำในเรื่องนี้ ที่ผ่านมาถือว่าเป็นการตายและฝังตามปกติ ในสมัยนี้เมื่อการแพทย์เจริญขึ้น สามารถที่จะตัดต่อ หรือทำให้อวัยวะของเราเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ก็คิดว่า เรื่องคำสอน ของศาสนาคาทอลิก สามารถที่จะทำได้ เป็นการอุทิศร่างกายของเรา ให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น เป็นการต่ออายุผู้อื่นให้มีชีวิตอยู่ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไปในอนาคต”

บาทหลวงวรยุทธ กิจบำรุง ร.ร.อัสสัมชัญ บางรัก
(รายการความรู้คือประทีป สถานีโทรทัศน์ ช่อง ๙ อ.ส.ม.ท. ๑๒ ก.ย.๒๕๓๗)

“…การเกิดใหม่ไม่ได้เอาร่างกายไป…ร่างกายในภพนี้ไม่เป็นตัวเอื้อเกิดในภพหน้า แต่เป็นสภาวะของจิต สภาวะของจิตเป็นอำนาจที่จะส่งไปเพื่อที่จะปฏิสนธิใหม่ ถ้ามีโอกาส ที่จะเกิดใหม่ด้วยกุศลจิต เป็นจิตที่มีความเยือกเย็น จิตที่มีความสุขกับการให้ เป็นจิตที่ เต็มเปี่ยม ที่ทำให้การเกิดครั้งใหม่ มีอวัยวะครบถ้วนและงดงามด้วยจิตใจ…” “ลองถามความรู้สึกของเราดูว่า ถ้าเห็นอวัยวะที่สำคัญของบุคคลที่เรารัก ยังเติบโต และใช้การได้ดีในชีวิตของคนอีกคน จะไม่เป็นสิ่งที่น่าชื่นใจของคนที่ยังอยู่หรือ เมื่อเรา ได้เห็นว่าชีวิตของท่านไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เป็นลูกเป็นเพื่อนของเรา คือเขายังอยู่ คนที่เรารัก ยังอยู่ ในชีวิตของคนอีกคนหนึ่ง ความรู้สึกของเราเป็นอย่างไร เราต้องถามตรงนี้ให้ดี และเราถึงจะรู้ ว่าการให้ไม่ใช่การสูญเสียแต่เป็นการได้มา”

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เสถียรธรรมสถาน
(รายการกฎแห่งกรรม สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ ๑๗ ส.ค.๒๕๓๗)

———————————————————————

การอุทิศอวัยวะ จะต้องทำอย่างไร ?

การอุทิศอวัยวะจะต้องแสดงความยินยอมขณะที่ยังมีชีวิตอยู่โดยการกรอกใบแสดงความจำนง
บริจาคอวัยวะหรือญาติจะเป็นผู้แสดงความยินยอมมอบอวัยวะนั้นเพื่อเป็นทานให้กับศูนย์รับบริจาค
อวัยวะสภากาชาดไทย บุคคลที่ต้องการบริจาคอวัยวะควรมีคุณสมบัติตามข้อกำหนดในการบริจาค

ข้อกำหนด ในการบริจาคอวัยวะ

1. ผู้บริจาคอวัยวะต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปี
2. เสียชีวิตจากภาวะสมองตายด้วยสาเหตุต่างๆ
3. ปราศจากโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง
4. ไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา
5. อวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายต้องทำงานได้ดี
6. ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ไวรัสเอดส์ ฯลฯ

การแสดงความจำนง ในการบริจาคอวัยวะ

1. กรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะให้ชัดเจน ที่อยู่ควรจะตรงกับทะเบียนบ้าน (หากต้องการให้ส่งบัตรประจำตัวไปยังสถานที่อื่น กรุณาระบุ)
2. เมื่อศูนย์รับบริจาคอวัยะฯ ได้รับข้อความแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะของท่านแล้ว ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ จะส่งบัตรประจำตัวผู้มีความจำนงบริจาคอวัยวะให้ตามที่อยู่ที่ได้ระบุไว้
4. หลังจากที่ท่านได้รับบัตรประจำตัวผู้มีความจำนงบริจาคอวัยวะจากศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ แล้ว อย่าลืมกรอกชื่อ และรายละเอียดการบริจาคลงในบัตร
5. กรุณาเก็บบัตรประจำตัวผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะไว้กับตัวท่าน หากสูญหายกรุณาติดต่อกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาดไทย

กรุณาแจ้งเรื่องการบริจาคอวัยวะแก่บุคคลในครอบครัวหรือญาติให้รับทราบก่อน…
บริจาคอวัยวะคลิกที่นี่

อ้างอิงจาก  ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย

Share