Author Archives: ชิตพงษ์ วุทธานันท์

ใครเอาเนยแข็งของฉันไป

มีตัวละครขนาดจิ๋วอยู่ 4 ตัว
วิ่งวนอยู่ในเขาวงกต ซึ่งสลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง
เพื่อเสาะหาเนยแข็งอันเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต
ในนี้มีสองชีวิตเป็นหนู ตัวหนึ่งชื่อ “สนิฟฟ์” กับ”สเคอร์รี่”
ส่วนมนุษย์แคระอีกสองคนชื่อ “เฮ็ม”กับ “ฮอว์”
ทั้งสี่ชีวิตใช้เวลาในแต่ละวันในการวิ่งหาเนยแข็งในเขาวงกตนั้น

เจ้าหนู สนิฟฟ์ และ สเคอร์รี่ ใช้วิธีลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ โดยใช้จมูกเป็นเครื่องนำทาง
พวกมันจะจำทางที่ไม่มีเนยแข็งไว้ แล้ววิ่งไปทางอื่นจนถูกทาง ส่วนคนแคระ
เฮ็ม กับ ฮอว์ ก็ใช้ความรู้และประสบการณ์ในอดีตเข้าช่วย
ในที่สุดทั้ง 4 ชีวิต ได้พบกับคลังเนยแข็งขนาดใหญ่
ที่ดูเหมือนมีเนยเพียงพอที่ให้กินไปได้ตลอดชีวิต
พวกเขาได้พบแหล่งอาหารอันวิเศษที่แสนสะดวกสบาย
และไม่ต้องวิ่งตระเวนหาอีกต่อไป

เวลาผ่านไปจนมาถึงเช้าวันหนึ่ง ทั้ง 4 ชีวิต
ได้พบว่าเนยแข็งกำลังจะหมดไป เจ้า สนิฟฟ์
เห็นเช่นนั้นก็ไม่เสียเวลาวิเคราะห์ มันออกวิ่งค้นหาเนยแข็งก้อนใหม่ทันที
ส่วนเจ้า สเคอร์รี่ เห็นเช่นนั้นก็วิ่งตามโดยไม่รอช้า สนิฟฟ์ ไปถึงไหน
สเคอร์รี่ ก็ไปที่นั่น

คนแคระ เฮ็ม กับ ฮอว์
ไม่คาดมาก่อนว่าเนยแข็งจะหมดไป เฮ็ม
ถึงกับตีโพยตีพายกล่าวโทษเทวดาฟ้าดินว่า ไม่ยุติธรรมกับเขา
แล้ววิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ว่าเนยแข็งควรจะกลับมาหาเขาอีก

แต่ ฮอว์ ดูจะยอมรับความจริงได้มากกว่า
เขาเริ่มคิดว่า เขาควรทำการเปลี่ยนแปลง เขาจึงชวน เฮ็ม
ให้ออกไปหาเนยแข็งใหม่แบบที่หนูสองตัวกำลังทำอยู่ ปรากฏว่า เฮ็ม
ไม่ยอมรับฟัง ฮอว์ จึงไปสู่เขาวงกตตามลำพัง

และแล้วเจ้าหนูทั้งสองก็ได้พบคลังเนยแข็งแห่งใหม่ที่ดีและใหญ่กว่าเดิม

ฮอว์นั้นแม้จะออกมาช้ากว่าเจ้าหนูทั้งสอง
แต่ในที่สุดเขาก็ได้พบคลังเนยแข็งใหม่ เช่นกัน เขาจึงกลับไปชวน เฮ็ม
ให้ออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่ แต่ เฮ็ม กลับปฏิเสธ
ทั้งยังไม่ยอมรับเนยแข็งที่ ฮอว์ อุตส่าห์เอาไปฝาก ฮอว์
จึงจำใจต้องปล่อยเพื่อนไว้เช่นนั้น

ระหว่างที่ ฮอว์
ออกมาเผชิญโชคครั้งใหม่ ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ทีละน้อย
เขาสรุปสัจธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยเขียนไว้บนกำแพงเป็นระยะๆ
“ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง คุณอาจจะสูญพันธุ์”

ฮอว์ สุขสบายอยู่ในคลังเนยแข็งใหม่
แต่ก็ยังคิดและหวังว่า เฮ็มเพื่อนรักจะตามมาตามลายแทง
และข้อคิดที่เขาบอกทางไว้ให้ แล้ววันหนึ่ง ฮอว์
ก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากทางเดินข้างนอก นั่นอาจจะเป็น เฮ็ม ก็ได้ใครจะรู้

4 ชีวิต
เป็นตัวแทนแห่งสัญชาตญาณและความคิดในการตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
สนิฟฟ์ เป็นผู้ดมกลิ่นการเปลี่ยนแปลงได้ก่อนใคร จึงนำออกไปก่อน
สเคอร์รี่ ไม่คิดอะไรเลย วิ่งตามกระแสอย่างเดียว
เฮ็ม เป็นผู้ปฏิเสธและต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
โดยคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจะปรากฏโฉมในทางเลวร้ายก
ว่าเดิม
ส่วน ฮอว์ เป็นคนเรียนรู้และปรับตัวตามยุคสมัย
เมื่อเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

ในโลกแห่งธุรกิจ และโลกแห่งการทำงาน
มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย
นิทานเรื่องนี้อาจให้แง่คิดที่เตือนให้ผู้คนมองเห็นการเปลี่ยนแปลง
และเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด

Share

คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข

คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข

การปฏิบัติของเรานั้น
เรามักจะคิด เรียกร้องธรรมะให้มาช่วยเรา
ที่ถูกแล้ว เราต้องช่วยเหลือตัวเอง
ต้องหมั่นพิจารณา.…. โยนิโสมนสิการ
เราต้องน้อมเข้าไปหาธรรมะ
เอากาย วาจา จิต ไปละความชั่ว ทำความดี
พยายามชำระจิตใจให้สะอาด

ต้องพยายามใช้ปัญญามาพิจารณาดู คือโยนิโสมนสิการ
พยายามคิด พิจารณาดูอยู่อย่างนั้น
ทุกข์เกิดขึ้นเมื่อไร เราก็คิดผิด
เมื่อกระทบอารมณ์ เราก็ต้องรีบคิดดี พูดดี ทำดี
“คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข”
ธรรมะข้อนี้ใครก็รู้จัก เราก็ได้ยินมาตั้งแต่เล็กๆ แต่ยังไม่ถึงใจ
ใจเราก็ยังคิดสกปรกอยู่
กระทบนิดเดียวก็คิดสารพัด
เห็นอะไร ได้ยินอะไร ก็เกิดน้อยใจ เสียใจ ไม่พอใจ ครุ่นคิดสารพัด
พยาบาท ปองร้าย สู้กัน ชนกันอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราเข้าใจธรรมะนิดหน่อย

เอา คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข ตั้งไว้ที่หัวใจ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตั้งขึ้นมา
ทุกข์เพราะคิดผิด
อย่าเชื่อความรู้สึกนึกคิด
อะไรก็ไม่แน่ ไม่แน่ ไม่แน่

 
ถ้าเรามีสติระลึกได้ เอาธรรมะเหล่านี้มากรองอยู่อย่างนั้น
การปฏิบัติก็ง่ายมาก
ถ้าเรายึดธรรมเหล่านี้มาเป็นหลักในการปฏิบัติ.…. ก็ไม่มีอะไร
เห็นอะไร ได้ฟังอะไร อะไรกระทบอารมณ์ ใจก็สงบ
เราอาจจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจ หรือทุกข์อาจจะเกิดขึ้นก็ได้
แต่จิตไม่ฟุ้งซ่าน จิตสงบได้ ทำใจสงบได้
แม้ยังรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะเรายังมีกิเลส
บางครั้งเมื่อรู้สึกน้อยใจ เรารีบจับความรู้สึกที่หน้าอก
ความรู้สึกทางกายเกิด ใจก็ไม่พุ่งออกไปชนกับเขา
ไม่ดูถูก ดูหมิ่นใคร ไม่ต้องคิดอะไร

จับความรู้สึกทางกายนี่แหละ ที่หน้าอก
ความรู้สึกเป็นทุกข์ เราก็ต้องรู้จักว่า กิเลสกำลังเกิด
แล้วก็พิจารณาดูว่าไม่แน่ ความรู้สึกสักแต่ว่าความรู้สึก
เลยเป็นเรื่องเล็ก ไม่เป็นเรื่องใหญ่โต เพราะเราไม่ปรุงแต่ง
ถ้าเราทำได้อย่างนี้ เราก็ปฏิบัติถูก

 
สนับสนุนข้อคิดนานาสาระโดย:
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม
 
http://variety.teenee.com/foodforbrain/2385.html

Share

ความสุข สิ่งที่ใคร ๆ ต่างไขว่ขว้า

ความสุข สิ่งที่ใคร ๆ ต่างไขว่ขว้า

คุณอยากได้กล้องถ่ายรูปแบบดิจิตัลสักตัวหนึ่ง

หลังจากหาข้อมูลมาหลายวันทั้งจากหนังสือพิมพ์และคนรู้จัก

ก็ตัดสินใจได้ว่าจะซื้อยี่ห้อและรุ่นอะไร

คุณใช้เวลา ๒-๓ วันในการหาร้านที่ขายถูกที่สุด

แล้วคุณก็พบร้านหนึ่งซึ่งขายต่ำกว่าราคาทั่วไปถึง ๒๕ %

คุณตัดสินใจควักเงิน ๗ ,๕๐๐ บาท แล้วพากล้องใหม่กลับบ้าน

ด้วยความปลื้มใจที่ได้ทั้งของดีและราคาถูก

แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ตั้งใจว่าจะไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง

แต่กลับพบว่าเขาเพิ่งซื้อกล้องยี่ห้อและรุ่นเดียวกับคุณ

แต่ซื้อได้ถูกกว่านั้น คือจ่ายไปเพียง ๕, ๐๐๐ บาทเท่านั้น

คุณจะรู้สึกอย่างไร ? ยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่ ?

ถ้าคุณยิ้มไม่ออก ก็น่าถามตัวเองว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?

ก็คุณเพิ่งได้ของใหม่มา แถมจ่ายน้อยกว่าคนทั่วไป

อีกทั้งสินค้าก็มีคุณภาพและถูกใจคุณเสียด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่คุณน่าจะดีใจมิใช่หรือ ?

แต่ทำไมคุณถึงเสียใจหรือถึงกับโมโหตัวเอง

เป็นเพราะคุณไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านใช่หรือไม่ ?

คุณมีกล้องดีที่น่าพอใจ แต่ทันทีที่คุณไปเปรียบเทียบกับกล้องของคนอื่น

ความรู้สึกไม่พอใจก็เข้ามาแทนที่ คนเราไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมีก็เพราะเหตุนี้

จึงมีผู้กล่าวว่าการเปรียบเทียบเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์

เคยสังเกตหรือไม่ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักคิดว่ารถของคนอื่นดีกว่ารถของตัว

แฟนของคนอื่นสวย(หรือหล่อ)กว่าแฟนของตัว ลูกของคนอื่นเก่งกว่าลูกของตัว

และอาหารที่คนอื่นสั่งมักน่ากินกว่าจานของตัว

ถ้าคุณเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ชีวิตจะหาความสุขได้ยาก

แม้จะได้มามากเท่าไร ก็ไม่พอใจเสียที


อย่าว่าแต่ของที่ซื้อมาด้วยเงินของตัวเลย แม้ของที่เราได้มาฟรี ๆ

เช่น ได้โทรศัพท์มือ ถือมาฟรี ๆ ๑ เครื่อง

ที่จริงน่าจะดีใจ แต่เมื่อรู้ว่าคนอื่นได้รับแจกรุ่นที่ดีกว่าและแพงกว่า

จากเดิมที่เคยยิ้มจะหุบทันที
แถมยังจะทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ได้รับแจกด้วยซ้ำ

นั่นเป็นเพราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นใช่ไหม
?

ทั้งๆ ที่ตนมีโชคแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนโชคไม่ดีเหมือนคนอื่น


ความทุกข์ของผู้คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะไปมองคนอื่นมากเกินไป

เราจึงไม่เคยพอใจกับสิ่งที่มีหรือเป็นเสียที แม้ว่าจะสวยหรือหุ่นดีเพียงใด

ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ ผมไม่สลวย ผิวคล้ำไป

แถมวงแขนก็ไม่ขาวนวลเหมือนดารา

แต่เมื่อใดที่เราหันมาพอใจกับสิ่งที่ตนมี

มองเห็นแง่ดีของสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่

ความสุขจะเพิ่มพูนขึ้นมามากมายทันที

จิตใจจะเบาขึ้น และชีวิตจะหายเหนื่อย

เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องวิ่งไล่ล่าหาซื้อสิ่งของต่าง ๆ มากมาย

เพียงเพื่อจะได้มีเหมือนคนอื่นเขา


พอใจในสิ่งที่เรามี

ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น

เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่กับตัว

นี้คือเคล็ดลับสู่ชีวิตที่เบาสบายและสงบเย็น

โดย พระไพศาล วิสาโล

Share