Author Archives: ชิตพงษ์ วุทธานันท์

การทุยโส่ว(ชุยชิ่ว-การผลักมือ) กับการรำมวยของมวยไท่จี๋(ไท่เก๊ก)

โดย อ.เซียวหลิบงั้ง (webmaster www.thaitaiji.com)1. การผลักมือกับการรำมวย มีหลักอย่างเดียวกันหรือไม่

หลักพื้นฐานของมวยไท่จี๋ไม่พ้นไปจาก “เคล็ดเจ็ดตัวอักษร” และ
เคล็ดสิบประการ

ในเคล็ดเจ็ดตัวอักษรมี

จิ้ง(แจ๋-สงบ)
ซง(ซง-ผ่อนคลาย)
เหวิ่น(อุ้ง-มั่นคง)
หวิน(อุ๊ง-สม่ำเสมอ)
ห่วน(หมั่ง-ช้า)
เหอ(ฮะ-สัมพันธ์)
เหลียน(เลี้ยง-ต่อเนื่อง)

ส่วนเคล็ดสิบประการ(ไปดูรายละเอียดได้ในหัวข้อเคล็ด 10 ประการ) มี

1.ซวีหลิงติ่งจิ้ง (ฮือเล้งเตงแก่-พลังบนกระหม่อมต้องเบาคล่อง)
2.หันเซียงป๋าเป้ย (ฮ่ำเฮงปวกป่วย-เก็บอกดึงหลัง)
3.ซงเอียวลั่วควน (ซงเอียเหลาะคัว-คลายเอวลดสะโพก)
4.ซวีสือเฟินหมิง (ฮือซิกฮุงเม้ง-แยกเต็มว่างให้ชัดเจน)
5.เฉินเจียนจุ้ยโจ่ว (ติ่มโกยตุ่ยอิ้ว-คลายไหล่ถ่วงศอก)
6.ย่งอี้ปู๋ย่งลี่ (เอ่งอี่ปุกเอ่งลัก-ใช้จิตไม่ใช้แรง)
7.ซ่างเซี่ยเซียงสุย (เจี้ยแอ๋เซียงซุ้ย-บนล่างคล้อยตามกัน)
8.เน่ยไว่เซียงเหอ (ไหล่กงั่วเซียงฮะ-ในนอกสัมพันธ์กัน)
9.เซียงเหลียนปู๋ต้วน (เซียงเลี้ยงปุ้กต๋วง-ต่อเนื่องไม่ขาดสาย)
10.ต้งจงฉิวจิ้ง (ต๋งตังขิ่วแจ๋-แสวงหาความสงบในความเคลื่อนไหว)

หลักของ”เคล็ดเจ็ดตัวอักษร“และ “เคล็ดสิบประการ” เหมือนกันทุกอย่าง
ต่างกันเพียงแต่วิธีการพูดการนำเสนอเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการทุยโส่วหรือ
การรำมวย ล้วนแต่ต้องสอดคล้องกับหลักสำคัญเหล่านี้ แต่ในการทุยโส่ว
ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่พันตูกันระหว่างคนสองคน ดังนั้น ในการทุยโส่ว
นอกจากต้องยึดกุมหลักพื้นฐานที่กล่าวมาแล้ว ยังต้องยึดกุมหลักของ
จัน(เตียม-แนบ), เหลียน(เลี้ยง-เข้าร่วม), เหนียน(เนียม-เกาะติด),
สุย(ซุ้ย-ติดตาม) และกฎเกณฑ์ของฮว่า(ห่วย-เปลี่ยนแปลง),
อิ่น(อิ้ง-ชักนำ), หน่า(น่า-จับ), ฟา(หวก-ปล่อยพลัง)

และต้องไม่ทำผิดในเรื่องของ ติ่ง(เต้ง-ค้ำ), ค่าน(ขั่ง-ต้าน), เปี่ยน(ปี้-แบน),
ติว(ติว-ทิ้งห่าง) ที่เรียกว่าซื่อปิ้ง(ซี่แป่-โรคทั้งสี่)ในการทุยโส่ว หากว่าไม่ได้
ผ่านภาคปฏิบัติในการทุยโส่ว ก็จะไม่สามารถยึดกุมหลักในการทุยโส่วเหล่านี้
และไม่สามารถเข้าใจหลักเหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน การรำมวยก็
ใช้พื้นฐานของการทุยโส่ว หากว่าไม่สามารถยึดกุม “เคล็ดเจ็ดตัวอักษร
และ “เคล็ดสิบประการ” ในการำมวย อย่างนั้นก็อย่าหมายว่าสามารถยึดกุม
หลักในการทุยโส่วให้ดีได้เช่นกัน

2. ทำไมการเรียนการสอนทุยโส่วจึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
กับการยึดกุมหลักพื้นฐาน

มีคำกล่าวว่า “สามารถฝึกฝนมวยให้ถูกวิธี ย่อมได้ผลรับที่ดี” คำว่า
“ถูกวิธี” หมายถึงการยึดกุมเกาะกุมหลักพื้นฐานที่ถูกต้อง อันที่จริง
ไม่เพียงแต่การฝึกมวยเท่านั้นที่ต้องทำเช่นนี้ ไม่ว่าวิชาอะไรในโลก
นี้ก็ต้องทำเช่นนี้ อย่าว่าแต่ศิลปะวิชาที่ซับซ้อนละเอียดอ่อนเลย
แม้ว่างานนั้นจะมีความง่ายขนาดไหน ถ้าหากทำไม่ถูกต้องถูกวิธี
ก็ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายตามมามากมาย ดังนั้นอาจารย์ที่มี
ชื่อเสียงและประสบการณ์เวลาที่สอนมวยไท่จี๋และทุยโส่ว จึงไม่
มีใครที่ละเลยต่อหลักพื้นฐาน ถ้าเวลาที่เราทุยโส่ว หากเราเสีย
เปรียบคู่ต่อสู้แม้เพียงเล็กน้อย นั่นย่อมหมายความว่าต้องมีหลัก
พื้นฐานอย่างหนึ่งอย่างใดที่เราทำไม่ถูกต้อง

เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว จึงควรทุ่มเทกายใจศึกษาหลักพื้นฐานให้ดี
โดยไม่ละเลย คำว่า “พื้นฐาน” คำคำนี้บางทีก็ทำให้บางคนเกิด
ความตายใจ รู้สึกดูแคลน ไม่ใส่ใจ เพราะคิดว่าเป็นพื้นฐาน เรารู้
แล้ว ได้ยินได้ฟังมามากแล้ว แต่ที่ว่ารู้แล้ว ที่จริงรู้จริงหรือเปล่ารู้
ถูกต้องหรือเปล่า รู้แล้วทำได้หรือยัง ทำได้ดีแค่ไหน ส่วนใหญ่ผู้
เรียนมักอยากได้แต่เคล็ดที่มันดูลึกลับซับซ้อน เพราะคิดว่านั่น
แหละถึงจะใช่ แต่หารู้ไม่ว่า หลักพื้นฐานนี่แหละสำคัญที่สุด เช่น
เดียวกับการสร้างอาคาร เราทุกคนรู้กันดีว่ารากฐานพื้นฐานของ
อาคารสำคัญที่สุด อาคารยิ่งสูงเท่าไหร่รากฐานก็ยิ่งมีความสำคัญ
เป็นเงาตามตัว ในทำนองเดียวกัน มวยไท่จี๋ที่มีความละเอียดลึกซึ้ง
ก็ต้องการพื้นฐานที่ดีมั่นคงเช่นเดียวกัน จึงจะสามารถฝึกได้ถึงขั้น
สูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ที่มา: http://www.thaitaiji.com/taiji/theory/push-hand/pushhand1.html

Share

จงรักและห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวัน ในชีวิตของคุณและเขา

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
” ใครขโมยเงินไป ” พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
” ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ”

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
แล้วพูดว่า
” ผมขโมยเองครับ ”

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
” ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย ”

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
” พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว”

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี…

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า ” ลูกเราทั้งคู่เรียนดี
เรียนดีมากนะ”

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
” แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน ”

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
” ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว ”

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
” ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้”

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
ทั่วทั้งหมู่บ้าน
เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
” ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้”

แต่ในขณะเดียวกัน
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
ใครจะรู้ได้ … วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
ขณะฉันกำลังหลับ
” พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ….

ผมจะไปหางานทำ
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่”

ฉันนั่งอยู่บนเตียง
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า …
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี .

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่
ไซท์ก่อสร้าง …….
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า “มีชาวบ้านมาหาเธอ
อยู่ข้างนอกแน่ะ ”

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

ฉันถามเขาว่า
” ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ ”

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า “ก็ดูผมสิ
สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี”

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
” พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม”

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ ….. เขาติดกิ๊บให้ฉัน
แล้วพูดว่า
” ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง”

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี …..

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
” แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ”

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า ” แม่ไม่ได้จ้างหรอก
น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ”

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด “เจ็บมากไหม”
ฉันถาม

” ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ… ”

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี…

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป

เขาบอกกับฉันว่า
” พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง”

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
… ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

” ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
ดูตัวเองซิ
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง”

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
” พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด”

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย …..
ฉันบอกกับน้องว่า
” แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่…”

” ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ”
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี…

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
” ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้”

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล “พี่สาวของผมครับ” …..
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

” ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม
โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม. เพื่อเดินไปเรียน
และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ … นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ”

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก … “ในโลกใบนี้
คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ ”

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง…

 จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
น้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

Share

พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กง

พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กง

อ่านแล้วเก็บรักษา บุญรักษาเนืองนอง
รู้แล้วบอกทั่วกัน บุญกุศลเรืองรอง

  1. ชีวิตย่อมเป็นไปตามลิขิต (ละชั่วทำดี)      วอนขออะไร
  2. วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้      กลุ้มเรื่องอะไร
  3. ไม่เคารพพ่อแม่แต่เคารพพระพุทธองค์      เคารพทำไม
  4. พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา      ทะเลาะกันทำไม
  5. ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต       ห่วงใยทำไม
  6. ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ      ร้อนใจทำไม
  7. ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย       ทุกข์ใจทำไม
  8. ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้       อวดโก้ทำไม
  9. อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร      อร่อยไปใย
  10. ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้      ขี้เหนียวทำไม
  11. ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง       โกงกันทำไม
  12. โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย       โลภมากทำไม
  13. สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง 3 ฟุต       ข่มเหงกันทำไม
  14. ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน       หยิ่งผยองทำไม
  15. ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต      อิจฉากันทำไม
  16. ชีวิตลำเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บำเพ็ญ       แค้นใจทำไม (บำเพ็ญไวไว)
  17. นักเล่นการพนันล้วนตกต่ำ      เล่นการพนันทำไม
  18. ครองเรือนด้วยความประหยัดดีกว่าไปขอพึ่งผู้อื่น      สุรุ่ยสุร่ายทำไม
  19. จองเวรจองกรรมเมื่อไรจะจบสิ้น      อาฆาตทำไม
  20. ชีวิตเหมือนเกมหมากรุก       คิดลึกทำไม
  21. ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้       รู้มากทำไม
  22. พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด       โกหกทำไม
  23. ดีชั่วย่อมรู้กันทั่วไปในที่สุด       โต้เถียงกันทำไม
  24. ใครจะป้องกันมิให้มีเรื่องเกิดขึ้นได้ตลอด       หัวเราะเยาะกันทำไม
  25. ฮวงซุ้ยที่ดีอยู่ในจิตไม่ใช่อยู่ที่ภูเขา       แสวงหาทำไม
  26. ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ       ถามโหรเรื่องอะไร
  27. ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย       วุ่นวายทำไม
Share