Author Archives: ชิตพงษ์ วุทธานันท์

เมื่อนักเรียนไทย เรียนเยอะๆ แต่ยิ่งฉลาดน้อยลง

‘เด็กฉลาดต้อง เรียนเยอะๆ เรียนจบไปจะได้ทำงานดีๆ เป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นสถาปนิก’

เหล่านี้คือค่านิยมแบบเดิมๆ ที่ยึดติดและเชื่อถือมาตั้งแต่ครั้งสมัยบรรพบุรุษแล้ว แม้ว่าทุกวันนี้โลกของเราจะก้าวไปสู่ยุค 3 จี 4 จี หรืออินเทอร์เน็ต วายฟาย แต่หาได้ทำลายความเชื่อโบราณนี้ลงได้แม้แต่น้อย

สัมผัสได้ทุกวันนี้ ที่เด็กๆ ยังคงจะเรียนหนังสือหนักเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ไม่เชื่อลองคำนวณดูก็ได้ วันหนึ่งเรียนตั้งแต่ 9 โมงเช้า มาเลิก 4 โมงเย็น แถมเช้าๆ ยังต้องมาเข้าแถวเคารพธงชาติให้ทัน 8 โมงเช้า เมื่อหักเวลารับประทานอาหารเรียบร้อย สรุปวันหนึ่งก็ใช้ชีวิตอยู่ห้องเรียนไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง

และเมื่อคูณเวลาทำการไปอีก 5 วัน สรุปแล้ว เด็กไทยก็ไม่น่าจะใช้เวลาเรียนต่ำกว่า 30 ชั่วโมง (หรือบางโรงเรียนอาจจะน้อยกว่าเล็กน้อย เพราะเด็กผู้ชายต้องไปเรียนรักษาดินแดน)

ไม่หมดเพียงแค่นั้น พอหมดจากโรงเรียน ก็อย่าเพิ่งคิดว่าเด็กจะรอดไปได้ เพราะยุคนี้เป็นยุคของการแข่งขัน ทำให้เด็กไทยจำนวนมาก ทุ่มตัวกับการเรียนพิเศษในโรงเรียนกวดวิชา เล่นเอาหน้าดำคร่ำเครียดไปตามๆ กัน

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เอง ก็ไปกระตุ้นใจของใครๆ หลายคน อย่าง ยุทธชัย เฉลิมชัย ที่ปรึกษาสมาคมบ้านเรียนไทย ซึ่งออกมาตั้งคำถามตัวโตๆ ไปยังกระทรวงศึกษาธิการว่ารีบไปทำวิจัยได้แล้วว่า สรุปเด็กไทยนั้นเรียนเยอะเกินไปหรือเปล่า และดีไม่ดีอาจจะเรียนมากที่สุดในโลกด้วยซ้ำ เพราะขนาดประเทศจีนซึ่งว่ากันว่า เข้มงวดแบบสุดๆ กวดขันแบบมากๆ ยังมีช่วงเวลาพัก ช่วงเวลาทำกิจกรรมมากกว่าเด็กไทยเลย

“ผมไม่รู้หรอกนะว่า เมืองไทยเราเรียนเยอะกว่าเมืองนอกหรือเปล่า แต่เท่าที่เห็นเราเรียนเยอะจริงๆ ตั้งแต่เช้ายันเย็น และตอนที่ผมไปประเทศจีน เด็กที่นั่นเขาก็ตึงเครียดกับเรื่องเรียนเหมือนกัน เวลาสอบก็อ่านหนังสือหนักเหมือนกัน แต่เวลาเรียนของเขาน้อยกว่ามาก อย่างช่วงพัก 11 โมงครึ่งถึงบ่าย 2 โมงครึ่ง เขาก็ให้เด็กกลับบ้าน พอช่วงบ่ายกลับมาก็เน้นเรื่องทางดนตรี ศิลปะเป็นหลัก”

แต่ถึงจะไม่มีงานวิจัยออกมาอย่างชัดแจ้ง หรือมีการเปรียบเทียบโมเดลการศึกษาของเมืองไทยกับเมืองนอกออกมาอย่างแดงแจ๋ แต่เชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนคงจะรู้สึกคันๆ กับประเด็นนี้ไม่มากก็น้อย เพราะต่างก็มีประสบการณ์มาแล้วอย่างถ้วนหน้า

เด็ก ไทย เรียนเยอะไปหรือเปล่า?
ความจริงที่ว่า ทุกวันนี้เด็กไทยเรียนเยอะ เรียนน้อย คงจะพิสูจน์ได้ลำบาก เพราะของแบบนี้ขึ้นอยู่กับอารมณ์และความรู้สึกล้วนๆ ดังนั้นคนที่จะให้คำตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นผู้ที่กำลังเผชิญชะตากรรมของระบบการศึกษาไทยอยู่นั่นเอง อย่างสาวน้อยจากสงขลา อัญ ชิสา เจริญแสงเพชร ชั้น ม.6 ซึ่งออกมาเปิดอกแบบไม่กลัวใครว่า ไม่ค่อยชอบการเรียนในห้องสักเท่าไหร่ เพราะต้องเรียนอะไรก็ไม่รู้เยอะมาก อย่างสัปดาห์หนึ่งเธอต้องโหมเรียนเรียนหนักมากถึง 40 ชั่วโมง คิดง่ายๆ ก็คือ 1 ใน 4 ของชีวิตทั้งหมด
แถมการเรียนโดยภาพรวมก็ไม่มีความเป็นระบบเลยสักนิด เน้นแต่การท่องจำอย่างเดียว ส่วนการปฏิบัติหรือการเรียนรู้จริงแทบไม่มีให้เสร็จ สร้างความเหน็ดเหนื่อย และเบื่อหน่ายให้แก่ตัวเองอย่างที่สุด
“หลายๆ วิชาเบื่อมาก จนไม่อยากเรียน คิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะหมดชั่วโมง (หัวเราะ) ยิ่งเมื่อมีรายงานต้องทำ นักเรียนก็ได้แต่หาจากในอินเทอร์เน็ตและก๊อบปี้มาสรุปทำรายงาน และออกไปยืนอ่านหน้าห้อง แล้วแบบนี้นักเรียนจะมีผลงานไปใช้ประกอบในการเรียนที่สูงกว่าได้อย่างไร”

อีกคนที่ไม่มีสภาพไม่แตกต่างกัน คณิต ชูทอง นักเรียนชั้น ม.5 จากโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม ซึ่งวันหนึ่งต้องเรียนมาถึง 10 คาบ สรุปแล้วอาทิตย์หนึ่งก็เรียนมากถึง 45 คาบเลยทีเดียว แต่ทว่า สำหรับเขามันกลายเป็นเรื่องปกติจนชินชาไปซะแล้ว เพราะเจอแบบนี้ตั้งแต่เรียน ม.1

“ไม่ใช่เราไม่เบื่อนะ ก็มีการเบื่อมีบ่น เกิดอาการความรู้สึกที่ไม่อยากเรียนบ้าง อย่างวันหนึ่งผมเรียน 10 คาบ คาบละ 50 นาทีก็เหนื่อยนะ บางวันก็ท้อคิดว่าไม่รู้จะเรียนเยอะไปทำไม อย่างบางวิชาก็ไม่น่าเรียน อาจารย์ก็เข้มงวดสอนไม่ค่อยรู้เรื่องให้กางตำราเรียนและมีแต่ท่องจำ บางวิชาอาจารย์ที่สอนควรเข้าใจเด็กว่า วัยอย่างพวกเราต้อการอะไร คือ ถ้าไม่เน้นวิชาการมากเกินไปจะเน้นปฏิบัติให้เราทำกันจริงๆ เมื่อมีปัญหาอะไรก็สามารถแก้ไข”

เมื่อเด็กๆ และเยาวชนของชาติต้องเจอสภาพการเรียนที่แสนจะหนักหน่วงเช่นนี้ คำถามที่ตามมาทันที ก็คือ ใครกันล่ะที่จะเป็นผู้รับผิดชอบ? แน่นอนงานนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้จัดทำหลักสูตรของโรงเรียนต่างๆ (เว้นแต่โรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย และโรงเรียนานาชาติ)

และเมื่อศึกษาหลักสูตรของสำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็พบความจริงที่ว่า ในแต่ละภาคการเรียน เด็กไทยต้องเรียนหนังสือมากกว่า 1,000 ชั่วโมงต่อปี เช่นเด็กในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ใช้เวลาเรียนถึง 1,000 ชั่วโมง โดยเรียนภาษาไทย และ คณิตศาสตร์อย่างละ 160 ชั่วโมง วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา สุขศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพฯ ภาษาต่างประเทศ เรียนอย่างละ 80 ชั่วโมง ส่วนวิชาพื้นฐานเรียน 800 ชั่วโมง กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 120 ชั่วโมง และมีรายวิชาเพิ่มเติมอีกไม่เกิน80 ชั่วโมง

จากตัวเลขที่น่าตกใจนี้เอง สุชา ติ วงศ์สุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้ความเห็นว่า แม้จะดูเป็นจำนวนที่มาก แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะแต่ละสาระความเรียนรู้ก็มีความจำเป็น แถมทุกวันนี้ ผู้ปกครองและครูอาจารย์ยังเรียกร้องให้มีการเพิ่มวิชาเรียนอื่นๆ ที่สอดคล้องกับภาวะสังคมปัจจุบันเข้าไปอีกด้วยซ้ำ

โดยจุดบกพร่องจริงๆ น่าจะอยู่ที่การบริหารและการออกแบบการสอนของโรงเรียนแต่ละแห่งมากกว่า ว่าเป็นอย่างไร และสามารถบูรณาการได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าจะพูดกันตามจริงแล้ว การจัดตารางเรียนสามารถทำได้ทั้งในหรือนอกห้องเรียน อย่างวิชาที่เป็นทฤษฎีอาจจะเรียนในห้องหรือเรียนหลายรูปแบบรวมกันก็ได้ เช่น ภาษาไทยบูรณาการเข้ากับสังคมและวาดเขียนก็ไปด้วยกันได้ แต่ในทางปฏิบัติโรงเรียนนิยมความสะดวกสบายจัดครูมาสอนแต่ละวิชาในห้องเรียน

“โรงเรียนมีหน้าที่จัดการ เรียนการสอน เมื่อโรงเรียนออกแบบตารางสอน ก็อาจจะออกมาในรูปแบบจัดให้เด็กนั่งเรียนในห้อง 5 ชั่วโมงก็ให้เรียนในห้องหมดเลย ต้องเรียนวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์วันไหน เมื่อโรงเรียนทั่วไปขี้เกียจแบบนี้ การจัดกิจกรรมให้เด็กก็ให้นั่งเรียนในห้องจึงเป็นทางเลือกที่ถูกเอามาใช้มาก ที่สุด พูดง่ายๆ ก็คือจัดครูไปสอน พอหมดชั่วโมงก็ออก ครูวิชาต่อไปเข้าสอน
“สุดท้ายนักเรียนเลยมีแต่ เวลาที่นั่งเรียนในห้อง และไม่มีเวลาให้ทำอะไรเลย ซึ่งในส่วนโครงสร้างหลักสูตรเรามีเวลาให้เด็กไปปฏิบัติกิจกรรม หรือให้ไปทำอะไรเยอะแยะกว่าการนั่งเรียนในห้อง”

เข้า เรียนก็เหมือนเข้าออฟฟิศ
ผลย่อมเกิดจากเหตุ เป็นสัจธรรมของโลกมนุษย์ ที่ทุกคนรับรู้ ปัญหาการศึกษาก็เช่นเดียวกัน โดยปัจจัยหลักๆ น่าจะมาจากค่านิยมของการศึกษาไทยที่ยึดติดมานมนามมากแล้ว

ดร.ชรินทร์ มั่งคั่ง จากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ชี้ให้เห็นว่า การปลูกฝังหลายๆ อย่างของการศึกษามุ่งแต่การให้ความรู้มากที่สุดเพียงอย่างเดียว ขณะที่ทักษะ หรือการนำไปประยุกต์ใช้แทบไม่เกิดขึ้นเลย ประกอบการเรียนที่ดูเหมือนเป็นการบังคับ ทำให้ไม่สามารถมีพลังดึงดูดนักเรียนให้อยากเข้าร่วมกิจกรรมได้เท่าที่ควร

“ทุกวันนี้ผมมองว่าเด็กเข้า โรงเรียนมาเพื่อที่จะรับรู้เท่านั้น แต่ไม่ได้เข้ามาเพื่อจะเกิดกระบวนการเรียนรู้ เหมือนมาเข้าออฟฟิศ ตามสเต็ปของการทำงาน ไม่ได้เข้ามาเพื่อคิดใหม่ หรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว จริงๆ หน้าที่ของโรงเรียนควรจะให้มโนทัศน์แก่เด็กในห้องเรียน ก็เพื่อที่เขาจะแสวงหา หรือใฝ่รู้ตลอดชีวิต แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นกับเด็กไทยเลย”

ตอกย้ำความคิดด้วยคำพูดของภาวิณีที่บอกว่า การเรียนในห้องเรียน ส่วนใหญ่ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อมากๆ และไม่ชักจูงอารมณ์ให้เกิดความอยากเรียนแม้แต่น้อย
“ครูที่สอนทุกวันนี้ไม่ได้มี วิธีที่แตกต่างไปจากเดิมเลย สอนแต่วิธีเดิมๆ ไม่ได้มีการหาเรื่องหรือแนวทางใหม่ๆ มาใช้เลย ทุกวันนี้ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเรียนแบบนี้ สุดท้ายนักเรียนจะได้อะไร”

อีกโจทย์หนึ่งที่ถือว่าท้าทายนักการศึกษามากๆ ก็คือการที่ไม่สามารถขยับตัวออกจากวังวนเดิมๆ ของตัวเอง โดยยุทธชัยได้ยกตัวอย่าง ทัศนคติของครูไทยในปัจจุบันที่มองว่า การเรียนต้องอยู่ในห้องเท่านั้น หรือต้องมีการเช็กชื่อ ใครขาดเรียนเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ไม่มีสิทธิ์ ความคิดเหล่านี้ยังคงอบอวลอยู่ในสังคมไทยเต็มไปหมด

และแม้ที่ผ่านมาจะมีความพยายามจากนักปฏิรูปการศึกษาจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปการเรียนรู้ หรือทำให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ที่มุ่งหวังจะเกิดกระบวนการเรียนรู้และกระบวนกลุ่มให้ยั่งยืน
แต่จากการศึกษาของ ดร.ชรินทร์ที่เข้าไปสำรวจตามโรงเรียนต่างๆ ก็พบว่าการปฏิบัติจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะพอเด็กทุกคนออกจากห้องเรียน ก็ยังคงความเป็นปัจเจกชนเหมือนเดิม และเมื่อเข้าไปศึกษากระบวนการเรียนรู้และกระบวนการทำงานกลุ่มก็พบว่า เป็นการทำงานเฉพาะระดับเปลือกเท่านั้น ไม่ได้มีการลงลึกไปที่เนื้อในอย่างแท้จริง

และอีกจุดหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ ทุกวันนี้การศึกษาขั้นพื้นฐานทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ทางผ่านไปสู่การศึกษา ขั้นสูงเท่านั้น ทำให้หลายๆ คนไม่ได้มุ่งที่แสวงหากระบวนการเรียนรู้จากตรงอย่างจริงจังเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ระบบต้องดีมีความสำคัญมากๆ ต่อการสร้างพื้นฐานชีวิตของเยาวชนในอนาคต

“ทุกวันนี้การเรียนรู้ของ เด็กไทยไม่เกิดเลย เป็นเพียงแค่ลีลาเท่านั้นเอง แม้แต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ตาม ซึ่งแน่นอนเมื่อเขากลายเป็นพลเมืองของชาติในอนาคต ก็จะไม่สามารถสร้างความเข้มแข็งในลักษณะของความเป็นชาติไทยได้ เพราะเขาไม่ได้เรียนรู้ และใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง พูดง่ายๆ ก็คือเรียนมากแต่ไม่บรรลุตามหลักสูตร”

แล้วจะออกจากเขาวงกตได้อย่างไร?

เมื่อการเรียนทั้งวัน ไม่เกิดผลดี และการศึกษาไทยยังเต็มไปด้วยปัญหาที่อีกมากมาย การหาทางออกจึงเป็นเรื่องจำเป็นอยู่ไม่น้อย
แม้ที่ผ่านจะมีการปฏิรูปกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิรูประบบวิธีเรียน ปฏิรูปหลักสูตร เกิดขึ้นอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถขจัดเรื่องเดิมออกไปได้แม้แต่น้อย เพราะจุดสำคัญของเรื่องนี้ อยู่ที่บุคคลเป็นหลัก โดยเฉพาะครู โดยนักการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บอกว่า หากครูผู้สอนไม่ยอมปฏิรูปตัวเองก่อน ก็คงยากที่จะไปทำอย่างอื่นต่อไปได้ เพราะครูถือเป็นจุดศูนย์กลางของการเรียนการสอนอย่างแท้จริง

“การออกแบบคำถามเพื่อการ เรียนรู้ของครู ถือเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญมาก เพราะมันจะนำไปสู่การเกิดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มากมาย โดยเฉพาะกิจกรรมกลุ่ม ที่เขาได้เรียนรู้เรื่องความเป็นผู้นำ ผู้ตาม เป็นสมาชิกกลุ่ม คุณค่าและบทบาทที่เขาแสดงจะเป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ครูต้องวางแผนเพื่อจะต่อยอดองค์ความรู้ใหม่ๆ”

ขณะที่ยุทธชัยชี้ว่า ทุกวันนี้ศักยภาพของครูมีจำกัดมาก แถมยังพึ่งตำราและหลักสูตรการสอนมากเกินไป ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว การศึกษาจะต้องหมุนให้ทันโลกอยู่เสมอ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องการปรับเปลี่ยนเรื่องนี้ยังจริงจังสักที

“ทุกวันนี้ครูหลายๆ คนสอนตามแบบเรียนประจำวิชา อย่างวิทยาศาสตร์ สำหรับเด็ก ป.3 ก็มีอยู่แค่ในแบบเรียนเท่านั้น ทั้งที่ความจริงมันเคลื่อนตัวเร็ว และต้องผสมผสานเชื่อมโยงกันต้องเยอะ ไม่ใช่รู้แค่หนังสือทีละเล่ม”

แน่นอน เรื่องนี้หากถามไปยังผู้รับผิดชอบถึงแนวทางการแก้ไข ก็คงได้รับคำตอบว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ
เห็นได้จากโครงการมากมายที่ทำ โดยเฉพาะครูพันธุ์ใหม่ที่กำลังถูกวางเป็นโมเดลใหม่ของการศึกษา ซึ่งผู้ตรวจราชการฯ อธิบายแนวทางการปรับปรุงครูว่า ต้องทำให้ครูสามารถบูรณาการการสอน หรือกำหนดรูปแบบการสอนใหม่ๆ โดยไม่ยัดเยียดตำราแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากๆ ที่จะต้องมีการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน ก็คือการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้นอกห้องเรียนมากขึ้น ไม่ใช่เรียนตามตารางสอน หรือเรื่องที่ครูกำหนดอย่างเดียว โดย ดร.ชรินทร์ ชี้ว่า แม้การเรียนในห้องจะมีความสำคัญ แต่ก็ปฏิเสธการเรียนรู้นอกห้องไม่ได้ เพราะนั่นคือการเสริมสร้างทักษะชีวิตอย่างแท้จริง

“เรื่องพวกนี้มีการพูดมา ตลอดเลย ผมจำได้ว่ามีอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งเคยเสนอด้วยซ้ำว่า ตอนเช้าเราน่าจะเรียนวิชาการ ส่วนบ่ายก็เป็นเรื่องศิลปะไป เด็กจะมีความผ่อนคลาย แต่ก็ยังไม่มีผลในทางปฏิบัติออกมาสักที” ยุทธชัยช่วยเสริมแนวความคิดและชี้ให้เห็นถึงความจริงที่เกิดขึ้นในสังคม
……..

ถึงทุกวันนี้ ค่านิยมเรื่องเด็กเก่งต้องเรียนเยอะๆ จะยังถูกปลูกฝังอยู่ภายใต้เซลล์สมองของคนไทยจำนวนมาก แต่เชื่อว่าหลายคนคงยอมรับความจริงที่ว่า คำพูดเช่นนี้อาจจะไม่ได้ผลสำเร็จเสมอไปทุกครั้ง แถมบางครั้งอาจจะนำมาสู่ผลเสียด้วยซ้ำ
แน่นอน เมื่อทางนี้ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด ก็คงถึงเวลาแล้วที่เมืองไทยก็น่าจะปรับตัวและใส่ใจว่า อะไรคือจุดอ่อนของระบบการศึกษากันแน่ และจะขยี้จุดไหนอย่างไร ถึงจะทำให้ปัญหาที่สั่งสมมานานได้รับการแก้ไขให้ลุล่วงไปได้จริงๆ
……..
เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK

ที่มา Manager Online

Share

จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ จากวิกรม กรมดิษฐ์

ต้องบอกว่า ประเทศไทยเปิดศักราชปีเสือไม่โสภา เมื่อ ประธาน องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ระบุว่าไทยอาจไม่เป็นประเทศ ที่น่าสนใจในการลงทุนเหมือนที่ผ่านมาในสายตา ของนักลงทุนญี่ปุ่น ทำให้คิดถึงความคิดเห็นของ วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าพ่ออมตะนครที่เคยพูดถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อคือ

1. คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม เป็น ประเภทมือใคร ยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น ธุรกิจการเมืองธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ

2. การ ศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออกขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตา มหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า

3. มองอนาคต ไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอ มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน

4. ไม่ จริงจังในความ รับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชี โรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญา หรือข้อตกลงอย่างเคร่ง ครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ

5. การ กระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากร ประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนา คุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชนซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม

6. การบังคับ กฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการ ตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจหรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง

7. อิจฉา ตาร้อน สังคม ไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัยยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไป เกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้ายดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว

8. เอ็น จีโอค้านลูกเดียว เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาล เพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน

9. ยัง ไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือในเวที การค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะและทีมเวิร์ค ที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้

10. เลี้ยง ลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเองต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม

ที่มา จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ จากวิกรม กรมดิษฐ์

Share

หยุดสร้างวัฒนธรรม ‘โมโหแล้วทำลาย’ ให้เด็กเห็นสักที

จากเหตุการณ์เผากรุงฯ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาทมิฬที่ผ่านมา ถือเป็นน้องๆ สงครามกลางเมืองที่เปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นทะเลเพลิงในชั่วข้ามคืน ซึ่งเชื่อว่าทุกบ้านที่ติดตามข่าวสาร คงจะอดใจหายไปกับภาพผู้ก่อการร้ายที่ทั้งทุบ เผา และปล้น จนกรุงเทพต้องวอดวาย และย่อยยับ พฤติกรรมเช่นนี้ ส่อให้เห็นถึงการโมโหแล้วทำลาย วัฒนธรรมที่แก้ไม่หาย จนน่าเป็นห่วงว่า เด็กไทยรุ่นใหม่จะติดนิสัยเหล่านี้ไปด้วยถ้าผู้ใหญ่ไม่หยุดสร้างวัฒนธรรม โมโหแล้วทำลายสักที

เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่เฉพาะแต่เพียงเผากรุงในครั้งนี้เท่านั้น แต่เคยมีตัวอย่างให้เห็นถึงความโกรธและทำลายตามสื่อต่างๆ เช่น โมโหคู่อริ ก็พากันชกต่อย ฟันแทงเพื่อชิงความเหนือกว่า หรือโมโหภรรยา/สามีเมื่อรู้ว่ามีกิ๊ก ก็คิดโกรธ จึงแก้แค้นด้วยวิธีเอาชนะ ทั้งสาดน้ำกรด หรืออะไรต่อมิอะไรที่เข้าข่ายโมโหแล้วทำลาย

ประเด็นนี้ ส่งผลต่อเด็กไม่น้อย ฟังได้จาก “วันชัย บุญประชา” ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ที่บอกว่า จากสถานการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา มีอยู่ 2 ประเด็นคือ โมโหแล้วเผา หรือมีการวางแผนกันไว้ก่อนแล้ว แต่สำหรับความโกรธเกรี้ยวเกิดขึ้นได้กับทุกคน เวลาผิดหวังรุนแรงย่อมทำลายได้ทุกอย่าง เพราะเมื่อถูกปลุกให้รู้สึกว่าเป็นผู้ชนะ แต่พอไม่ได้ตามที่ต้องการ ย่อมเหมือนกับคนที่อกหักอย่างรุนแรง ทำให้ช็อก ขาดสติ และโมโหจนทำลายล้างได้

ภาพที่เกิดขึ้น ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว บอกว่า ส่งผลต่อเด็กได้โดยตรง ขึ้นอยู่กับตัวเด็ก ถ้าเด็กอยู่บ้านกับผู้ใหญ่ หรือพ่อแม่ให้ความรู้ที่ดี และพูดในสิ่งที่ถูกต้อง เด็กก็จะได้รับวัคซีนที่ดี และมีภูมิคุ้มกัน ขณะที่เด็กอีกกลุ่ม ที่เข้าไปมุง หรือเป็นผู้กระทำร่วมก่อการ โดยไม่มีผู้ใหญ่บอกว่าสิ่งใดถูก หรือไม่ถูก อาจทำให้เด็กไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี โตขึ้นอาจก่อความรุนแรงได้ง่าย เพราะฉะนั้นพ่อแม่ หรือคนในบ้าน ควรเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น เวลาโมโหไม่ควรใช้ความรุนแรงต่อกัน

สำหรับบ้านที่มีลูกขี้โมโห แล้วชอบทำลาย เช่น ทำลายข้าวของ หรือผู้อื่น ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว แนะนำในเบื้องต้นว่า พ่อแม่ หรือคนดูแลต้องให้เด็กรู้จักอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาในขณะนั้นก่อน โดยต้องหยุดความโกรธ หรือความเกรี้ยวกราดของลูกให้ได้ ถ้าเป็นลูกเล็กให้โอบกอด เพื่อให้ลูกรู้สึกสงบ ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาหน่อย ควรจับให้เด็กมาอยู่ในมุมที่สงบ หลีกเลี่ยงการตี หรือใช้อารมณ์เข้าใส่กับลูก จากนั้นถามลูกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น รู้สึกอย่างไร เพื่อให้ลูกเข้าใจอารมณ์ตัวเอง

ด้าน “นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย” จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ เผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา เด็กมีการรับรู้เรื่องราว และภาพของความรุนแรงอันเนื่องมาจากสถานการณ์การเมืองจากสื่อต่างๆ รอบกาย บางส่วนเข้าไปดู เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ รวมทั้งได้ยินการพูดคุยของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ซึ่งในช่วงนี้ และในสัปดาห์หน้าโรงเรียนเปิดเทอม พ่อแม่และครูก็คงหลีกเลี่ยงการพูดคุยเรื่องนี้กับเด็กๆไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้การรับรู้เรื่องราวความรุนแรงเหล่านี้ ไม่สร้างผลกระทบในระยะยาวที่นำไปสู่การปลูกฝังค่านิยมความรุนแรง ความก้าวร้าว หรือ หากจะเกิดขึ้น ก็เกิดผลกระทบน้อยที่สุด


(ซ้าย) นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย (ขวา) วันชัย บุญประชา

“พ่อแม่ ครู อาจารย์ ที่อาจจะต้องเจอกับคำถาม และต้องสื่อสารกับลูก ในช่วงนี้ควรสื่อสารพูดคุยในลักษณะกระตุ้นความคิด แทนการสรุปความโดยผู้ใหญ่ เช่นการถามว่าเด็กรู้สึกอย่างไร เห็นอย่างไร คิดว่าใครได้รับผลกระทบบ้าง คิดว่าการกระทำนั้นไม่เหมาะสมอย่างไร และเขาจะมีส่วนช่วยลดปัญหาความขัดแย้งนี้ได้อย่างไร ตลอดจนทำให้ลูกเห็นผลสุดท้ายของความสูญเสียว่าเป็นอย่างนี้ อยากให้เกิดไหม มันมาได้อย่างไร มันมีวิธีอื่นอีกไหมนอกจากวิธีนี้” จิตแพทย์กล่าว

เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่จะต้องกระตุ้นให้เด็กคิดไม่ใช่เอาคำตอบสำเร็จใส่ไปในความคิดของเด็ก พ่อแม่และครูควรทำหน้าที่ผู้กระตุ้นความคิด โดยใส่คำถามมาทีละขั้นๆ ให้เห็นว่าผลลัพธ์เป็นแบบนี้มีใครๆได้ประโยชน์ไหม ก็ไม่มี มีแต่คนได้ความทุกข์ ไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ อาหารการกินก็ลำบาก จะไปโรงเรียนก็ไม่ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาให้เด็กเติบโต มีความหนักแน่นทางความคิดในระยะยาวนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง และโรงเรียน ควรส่งเสริมให้เยาวชนมีค่านิยมและการปฏิบัติตนอันประกอบด้วย การอ่านให้มาก ฟังให้มาก และรู้จักคิดวิเคราะห์ให้มาก

“ระบบการเรียนการสอนของเรานั้นต้องพยายามปรับ มาในเรื่องของการฝึกคนให้คิดมากอ่านมาก ฟังมาก คือการอ่านให้มากจะได้มีการรับรู้มากขึ้น แม้แต่ตัวผมเองเมื่อก่อนเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ คนนี้เขียน ก็ดี น่าเชื่อ เรื่องเดียวกันแต่อีกคนหนึ่งเขียน ซึ่งมองจากคนละมุมเลยทำให้เราเป็นอีกแบบเลยก็ได้ อะไรอย่างนี้ หลังจากที่อ่านมากขึ้น มันก็ทำให้ต่อไปนี้จะเชื่อใครก็ต้องพิจารณา ไม่ใช่รีบด่วนสรุป เพราะว่าความเชื่อจะเป็นตัวกำหนดการกระทำทุกอย่างคนเราเชื่ออะไรก็จะกระทำ อย่างนั้น” จิตแพทย์กล่าว

“นอกจากนี้ ตัวพ่อแม่เอง อาจจะนำสถานการณ์ต่างๆ พูดคุยกัน ให้เด็กๆ ได้ฝึกได้เห็นว่าเขาสรุปว่าเป็นอย่างนี้ก็ได้นะ ไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้นะหรือเมื่อก่อนเชื่อแบบนี้ พอผ่านมาได้จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ทั้งที่เมื่อก่อนเชื่อมั่นมาก อันนี้เป็นทักษะชีวิตของทุกคนนะครับ ถ้าทุกคนทำได้โอกาสที่จะเกิดความเสียหายในสังคมนั้นก็น้อยลง วิกฤติจะเกิดได้ยาก ถ้าคนหนักแน่น เพราะว่าหากคนในสังคมนั้นหนักแน่น จะถูกดึงไปทางไหนก็ยากขึ้น เพราะใช้วิจารณญาณมากขึ้น ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมันมากขึ้น ถ้าคนรู้ไม่เท่าทันก็จะตกเป็นเครื่องมือ ดังนั้นหัวใจสำคัญของการสื่อสารก็คือ ต้องกระตุ้นการคิด พยายามหลีกเลี่ยงที่จะใส่ข้อมูลสำเร็จเข้าไป เพราะว่าจะทำให้ตัวเด็กไม่ได้พัฒนา”

อย่างไรก็ดี จิตแพทย์รายนี้ ทิ้งท้ายว่า ช่วงนี้พ่อแม่ที่มีลูกเล็ก และมีความกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ควรมีเวลาใกล้ชิดกับลูก ไปดูแลรับไปส่งสักระยะหนึ่ง ในขณะเดียวกันตัวพ่อแม่เอง ควรเอาใจใส่ดูแลสุขภาพของตนเองด้วย พักผ่อนให้พอ ให้เวลาต่อกันให้มาก สร้างอบอุ่นใจในครอบครัว สร้างความมั่นใจ เพื่อเป็นหลักยึดของกันและกัน เพราะวิกฤตที่ทำให้คนใดคนหนึ่งเครียด มีปัญหาสุขภาพจิต ก็ส่งผลต่อคนในครอบครัว ใครได้รับผลกระทบ ก็เหมือนล้มลงไป แต่หากอีกคนยังยืนอยู่ได้ ก็จะยังพยุงกันไปต่อได้

///////////////////

ปล. อย่าขี้โมโห ถ้าจะโมโห โปรดอย่าทำลาย! และคงจะดีไม่น้อย ถ้าประเทศไทยมีข่าวที่เกิดจากความโกรธแล้วทำลายน้อยลง เหมือนกับที่ทีมงานได้อ่านเจอพาดหัวข่าวที่ประชดสังคมในเว็บ www.exteen.com โพสต์โดยคุณ Monboy01 เมื่อวันที่ 26 ก.พ.53 เวลา 21:37 จึงนำมาเสนอให้อ่านทิ้งท้ายกัน

“แค้นเมียแอบมีชู้ เลยฟ้องหย่าก่อนสร้างตัวแล้วขับสกายไลน์+ควงเมียใหม่งามหยดไปเย้ยเมียเก่า บอกรู้งี้เลิกกับมันตั้งนานแล้ว”

“เขม่นหน้าอริต่างสถาบัน นัดกันไปสอบ TOEIC ประชันกึ๋น ตอนแรกท้าดอทเอมั้ย แต่อีกฝ่ายถนัดภาษาอังกฤษเลยย้ายสังเวียน”

“สีในการเมืองไม่ตรงกัน เลยชวนกันไปทำบุญเลี้ยงพระ บอกเรื่องนี้ต้องเจอกันในวัด”

ถึงจะเป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อ แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณ Monboy01 โพสต์ ก็คงจะดีไม่น้อยนะครับ ^_^

ที่มา http://manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000071158

Share