Category Archives: พุทธศาสนา

ความสุขที่ถูกมองข้าม

พระไพศาล วิสาโล

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า “ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ” ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่….มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง”

เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่

แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน

ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใ หม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่าก ับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน

พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการ มี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา

จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่า นั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก “เฉย ๆ” เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ? เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเองก ับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน

นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้มีแฟนที่ดี ก็ยังไม่พอใจ เพราะรู้สึกว่าแฟนของคนอื่นสวยกว่า หล่อกว่า หรือเอาใจเก่งกว่า แม้มีลูกที่น่ารัก ก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าสู้ลูกของคนอื่นไม่ได้ แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา

การมองแบบนี้ทำให้ “ขาดทุน” สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมาคาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น

แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการ มี หรือจากสิ่งที่ มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการ ให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการ ไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้

เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการ ให้ และ การ ไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง

OnceInTheBlueMoon
http://www.budpage.com/ba173.shtml

Share

กฏแห่งกรรม

พระพุทธองค์ตรัสถึงกฎแห่งกรรมว่า อดีตชาติได้ประกอบแต่กรรมดี จึงเกิดมา
เป็นคนที่มียศสูงศักดิ์และร่ำรวยในโภคทรัพย์ ผู้ใดบำเพ็ญธรรมดาตลอดจะได้บุญ
วาสนาไปทุกภพทุกชาติ มนุษย์จงฟังให้ดี ฟังตถาคตกล่าวผลกรรมของไตรภพ
ผลกรรมของไตรภพเป็นเรื่องใหญ่ จงอย่าดูหมิ่นพุทธพจน์ จงฟังผลกรรมดังต่อไปนี้

ปัจจุบันเป็นขุนางเพราะเหตุใด

ชาติก่อนนำทองคำสร้างพระพุทธรูป

สิ่งที่ได้รับในชาตินี้เพราะชาติก่อนทำไว้

ถวายเครื่องทรงสักการะพระพุทธองค์

ทองคำสร้างองค์พระดั่งสร้างตนเอง

เครื่องทรงสักการะคืออาภรณ์ประดับกาย

ดังนั้นอย่าคิดว่าเป็นขุนนางนั้นง่าย

หากไม่สร้างบุญก่อกุศลแต่ปางก่อนไว้ไฉนเลยจะได้รับ

มีรถนั่งมีเรือขี่เพราะเัหตุใด

เพราะชาติก่อนสร้างถนนทำสะพาน

มีเสื้อผ้าแพรพรรณประดับกายเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนบริจาคเสื้อผ้าให้ผู้ยากจน

มีอาหารกินอิ่มสมบูรณ์เพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มให้ผู้ยากจน

ที่ไม่มีจะกินจะใส่เพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนไม่เคยบริจาคทานเลยแม้แต่น้อย

มีตึกรามบ้านช่องอยู่เพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนบริจาคข้าวสารช่วยผู้ยากไร้

มีบุญวาสนาเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนสร้างวัดสร้างศาลา

มีหน้าตามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนบูชาพระพุทธรูปด้วยดอกไม้ของหอม

มีปัญญา มีความปราดเปรื่องเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนสวดมนต์สรรเสริญพระนามพระพุทธเจ้า

มีภรรยาดีมีมารยาทพร้อมเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนได้สร้างบุญสร้างกุศลร่วมกัน

สามีภรรยามีอายุยืนยาวเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนได้แต่งริ้วธงประดับหน้าพระพุทธรูป

มีพ่อแม่อยู่ครบเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนเห็นอกเห็นใจผู้กำพร้า

ไม่มีพ่อมีแม่เพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนชอบยิงนกตกปลา

มีลูกหลานแยะเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนชอบปล่อยนกปล่อยปลา

เลี้ยงลูกไม่รู้จักโตเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนชอบเจ็บแค้นผู้อื่น

ชาตินี้ไม่มีลูกเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนข่มเหงรังแกลูกหลานชาวบ้าน

ชาตินี้อายุยืนเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนชอบซื้อสัตว์ปลดปล่อยชีวิต

ชาตินี้อายุสั้นเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

ชาตินี้ไม่มีภรรยาเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนชอบผิดประเวณี ข่มขืนลูกเมียเขา

ชาตินี้เป็นหม้ายเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนชอบดูหมิ่นดูแคลนสามี

ชาตินี้เป็นทาสเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนไม่จักบุญคุณคนอื่น

ชาตินี้มีหน้าตาดีเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนซื้อน้ำมันเติมตะเกียงบูชาพระ

ชาตินี้มีตาบอดเพราะเหตุใด

เพราะชอบอ่านหนังสือลามก

ชาตินี้ปากแหว่งเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนกล่าวร้ายใส่ความผู้อื่น

ชาตินี้หูหนวกเป็นใบ้เพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนปากร้ายชอบด่าว่าพ่อแม่

ชาตินี้หลังคร่อมเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนหัวเราะคนที่ไหว้พระ

ชาตินี้มืองอแขนคดเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนเคยตีพ่อแม่

ชาตินี้ขาเป๋ตีนแปเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนทำลายถนนและสะพาน

ชาตินี้เป็นวัวเป็นควายเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนเป็นหนี้เขาแล้วไม่ใช้คืน

ชาตินี้เป็นหมูเป็นหมาเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนมีใจคิดหลอกเขา

ชาตินี้มีโรคมากเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนดีใจที่เห็นผู้อื่นเคราะห์ร้าย

ชาตินี้มีสุขภาพดีเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนบริจาคยารักษาโรคผู้อื่น

ชาตินี้ต้องติดคุกติดตะรางเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนเห็นคนตกอยู่ในอันตรายไม่ยอมช่วยเหลือ

ชาตินี้ต้องอดอาหารตายเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนหัวเราะขอทาน

ชาตินี้ต้องถูกเขาวางยาเบื่อตายเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนเบื่อปลาในคลอง

ชาตินี้โดดเดี่ยวทุกข์ทรมานเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนใจบาปคิดแต่จะทำลายผู้อื่น

ชาตินี้แคระแกรนเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนชอบเหยียดหยามดูแคลนคนรับใช้

ชาตินี้อาเจียนเป็นโลหิตเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนคอยปลุกปั่นยุแหย่คนอื่นให้แตกแยกกัน

ชาตินี้หูหนวกเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนฟังธรรมแล้วไม่เชื่อถือ

ชาตินี้เป็นฝีหนองเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนทารุณสัตว์

ชาตินี้ตัวมีกลิ่นเหม็นเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนชอบอิจฉาริษยาผู้อื่น

ชาตินี้ต้องแขวนคอตายเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนทำลายเขาเพื่อประโยชน์ตน

ชาตินี้เป็นหม้ายหรือโดดเดี่ยวเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนไม่รักลูกรักภรรยา

ชาตินี้ถูกฟ้าผ่าตายเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนพูดจาเสียดสีผู้ออกบวช

ชาตินี้ถูกสัตว์ร้ายกัดตายเพราะเหตุใด

เพราะชาติก่อนชอบก่อศัตรูคู่อาฆาต

สรรพกรรมที่ก่อไว้กรรมตามสนอง

ต้องตกนรกได้รับทุกข์ทรมานจะโทษใครเล่า

อย่าพูดว่ากฎแห่งกรรมไม่มีใครเห็น

กรรมสนองเร็วตกที่ตัวเอง กรรมสนองช้าก็ตกกับลูกหลาน

ถ้าไม่ศัทธาพระรัตนตรัย ไม่รีบทำทาน

ก็จงดูบุคคลที่มีบุญวาสนาซิ

เพราะเขาทำบุญไว้ตั้งแต่ชาติก่อน ชาตินี้บุญจึงตอบสนอง

แม้ปจจุบันสั่งสมบุญกุศล บุญนั้นก็จะคุ้มครองถึงบุตรหลาน

หากใครกล่าวร้ายเรื่องกฎแห่งกรรม

ชาติหน้าก็ไม่ได้เกิดเป็นคนอีก (เกิดอยู่ในอบายภูมิ)

หากเชื่อถือยึุดมั่นในกฎแห่งกรรม

ความเจริญมั่งมีศรีสุข ก็จะมาเยือนถึงบ้าน

หากใครคอยแนะนำเผยแพร่เรื่องกฎแห่งกรรม

ก็จะเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นชั่วลูกชั่วหลาน

หากใครยึดมั่นในกฎแห่งกรรม

ฆาตเคราะห์ภัยพิบัติจะอยู่ห่างไกลตัว

หากใครเที่ยวบรรยายเรื่องกฎแห่งกรรม

ทุก ๆ ชาติจะเป็นบุคคลมีปัญญาเลิศ

หากใครหมั่นสวดมนต์ในเรื่องกฎแห่งกรรม

ชาติหน้าไปถึงไหนก็มีแต่คนนับถือ

หากใครพิมพ์หนังสือเรื่องกฎแห่งกรรมแจก

ชาติหน้าจะมีกายมงคลรุ่งโรจน์

หากจะถามเรื่องกฎแห่งกรรมของชาติก่อน

ควรศึกษาเรื่องราวของพระกัสสปพุทธเจ้าที่มีรัศมีแวววาว

หากจะถามถึงเหตุผลของชาติหน้า

ก็ให้ดูพวกที่กล่าวร้ายพระธรรมในเมืองนรก

หากว่าเหตุแห่งกรรมไม่มีการตอบสนอง

ก็ให้อ่านเรื่องพระโมคคัลาน์ช่วยมารดาในเมืองนรก

หากบุคคลใดก็ตามที่ยึดมั่นในกฎแห่งกรรม

ก็จะได้ไปเ้กิดในสุขาวดีแดนพุทธเกษตร

เรื่องกฎแห่งกรรมในสามโลกนี้พูดกันไม่จบ

สวรรค์ไม่เคยขาดคนจิตกุศล

ในพระรัตนตรัยเป็นแก้ววิเศษ

รู้จักสละบ้างผลได้รับเหลือคณานับ

เหมือนดั่งสะสมอริยทรัพย์ไว้ในเซฟที่มั่นคง

จะได้รับผลประโยชน์ทุก ๆ ชาติไป

“หากถามเรื่องชาติปางก่อน ก็ให้ดูผลที่ได้รับในปัจจุบัน
หากจะถามเรื่องชาติหน้า ก็ให้ดูสิ่งที่กระทำในปัจจุบัน”

จาก http://kromchol.rid.go.th/person/budha/kram.html 

Share

ความรู้กับปัญญา??

ได้อ่านหนังสือคู่มือมนุษย์ของท่านพุทธทาส เพิ่งจะเข้าใจเมื่อวานนี้ว่า
ความรู้และปัญญาต่างกันอย่างสิ้นเชิง และไม่เหมือนกันด้วย และไม่เกี่ยวกันด้วย

ค วามรู้คือ สิ่งที่คุณรู้ คุณรู้ว่าทำอย่างนั้นไม่ดี ทำอย่างนี้ไม่ดี ควรจะพัฒนาบุคลิกภาพอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนการเรียนในปัจจุบันนี้ที่เรียนเอาไว้รู้ หรืออ่านแล้วจำศีลได้ 5 ข้อ นี่แหละคือรู้

แต่…

ปัญญาคือ การรู้ที่รู้ซึ้ง การรู้ที่ไม่ใช่การรู้ธรรมดาเหมือนข้างบนนั้น แต่เป็นการรู้ที่แบบว่า ซึมซับในหัวใจ เป็นไปได้ด้วยตัวมันเอง เช่น เราไม่จำเป็นต้องรู้ศีล 5 แต่ชีวิตเรา ไม่เคยฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดกาม โกหก ดื่มเหล้า เลย เพราะเราละอายที่จะทำ รวมไปถึงไม่คิดอยากจะทำ นี่แหละคือปัญญา

ซึ่งผ มไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้เฉพาะทางธรรมะ และการดำรงค์ชีวิตสองอย่างหรือไม่ เพราะหลายอย่างในโลกของเราในปัจจุบัน เราจะต้องเรียนรู้ เพราะโลกตอนนี้ต้องการผู้ที่เรียนรู้ แต่มองไปอีกแง่หนึ่งว่า การเรียนรู้พวกนี้ ยิ่งเรียนก็ยิ่งไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ มีแต่ความสุขทางวัตถุไปวันๆ

สรุป ปัญญา คือ การตกผลึกของจิต ความฉลาด(ความรู้) คือความอยากที่ไม่มีวันหมด

Share