Category Archives: บันทึกของชีวิต

สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดไม่มีวันสิ้นสุด

ระหว่างทางที่ผมนั่ง Taxi กลับบ้าน
จิตใจผมเหม่อลอยชมวิวกรุงเทพยามราตรี
วิทยุที่ผมไม่รู้ว่าถูกจูนไว้ที่คลื่นไหน
แต่ผมพอจะจับใจความได้ว่า เป็นรายการ ธรรมะ พอดี..

เป็นรายการตอบปัญหาธรรมะกับความรักยามค่ำคืนที่คาดว่าตั้งใจอยากวัยรุ่นแบบผมฟัง
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต แห่ง ธรรมะดิลิเวอร์รี่ เป็นผู้วิสัชนาของคำถามจากวัยรุ่นทั่วประเทศ

ท่านพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดไม่มีวันสิ้นสุด”

(ซึ่งผมมารู้ที่หลังจากเพื่อนว่าภาพยนตร์เรื่อง อีติ๋มตายแน่ ที่โน๊ต อุดม แต้พานิชย์ แสดง ก็มีคำพูดประโยคนี้เหมือนกัน)

โดนใจมากครับ สำหรับประโยคนี้

ไม่ใช่เพราะผมกำลังสิ้นสุดกับใคร
แต่เป็นเพราะคำตอบที่ผมมักให้คำปรึกษาแก่เพื่อน ถูกสรุปได้ด้วยประโยคนี้ต่างหาก

มีหลายคนที่มักมาปรึกษาปัญหาความรักกับผม (ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม?)
แทบจะร้อยเปอร์เซ็น ที่มักรักอย่างไม่คิดถี่ถ้วน และก็ยอมเลยเถิดจนเนิ่นนานบานปลาย

รักช่วงแรก อาจจะรักด้วยรูปร่าง หน้าตา เงินทอง ความใคร่ ความหลง
สุดท้าย เมื่อนานวันเข้า มักมาค้นพบที่หลังแทบทุกคนว่า มันไม่ใช่! แต่ก็เลิกไม่ได้! เพราะรัก!

พอเจอแบบนี้ ผมมักจะถามกลับไปว่า “ถ้ารักก็ไม่ต้องมาเสียใจ แต่ถ้าเสียใจก็เลิกไปซะ”
แล้วผมก็ได้รับคำตอบประโยคเดิมๆทันที “เลิกไม่ได้ ก็มันรัก แต่ทำไมต้องทำอย่างนี้.. บลาๆๆๆ”

สุดท้ายผมก็ต้องอธิบายความเป็นจริงเพื่อขยายประโยคข้างต้นที่ผมบอกให้เขาฟังอย่างละเอียด

ตอนแรกเราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่า เขาเป็นคนเช่นไร แต่เมื่อเริ่มรู้จักกันบ้าง เธออาจจะพลาดพลั้งลุ่มหลง ในสิ่งที่เจามีหรือเขาเป็น จนตกหลุ่มรักโดยที่ไม่คิดถึงเรื่องราวเธอกับเขาไกลๆ

ตอนแรกเชื่อได้เลยว่า สิ่งใดที่เขาไม่ดี หรือเธอไม่ชอบ เธอจะมองข้ามมันไป เพราะฉันเคยเป็น เมื่อมองข้ามไปแล้ว ในอนาคตหากวันใดวันหนึ่งความรักหมดลง เธอจะพบแต่ข้อบกพร่องเหล่านั้นทันที

เพราะฉันเชื่อว่า คนที่อยู่กันจนแก่เฒ่า ไม่ได้อยู่ด้วยความรัก หากแต่อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อน อยู่ด้วยความเข้าใจ เกื้อกูล และผูกพันธ์กัน ความรักเป็นเพียงสิ่งเริ่มต้นให้เธอกับเขาได้รู้จักและศึกษากันเท่านั้น จริงๆ จะว่าไป ทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยว่า นิยามความรัก เป็นเช่นไร

แต่ไม่เป็นไรหรอก เมื่อเธอพลาดที่รักเขาไปแล้ว และตอนนี้เธอก็ได้รับรู้อะไรมากขึ้น

ฉันอยากให้เธอลองมองไปในอนาคตข้างหน้า ถ้าเธอยังคบกับเขาอยู่ หรือวันใดเธอได้แต่งงานอยู่กินกับเขา ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร เขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเธอไหม หรือเธอจะเปลี่ยนตัวเธอเพื่อเขาไหม และเธอเชื่อมั่นได้แค่ไหนว่าจะไปกันรอด หากเรื่องราวและความสัมพันธ์แค่นี้ ยังทำให้เธอต้องร้องไห้

ฉันไม่อยากให้เธอคิดไปเองก่อนเลยว่า เขาจะกลับต้วได้และจะเปลี่ยนแปลงเพื่อเธอ เพราะฉันเชื่อว่านิสัยของมนุษย์เปลี่ยนยากยิ่งนัก ถ้าหากไม่เจอเหตุการณ์ที่สั่งสอนเขาได้

เมื่อก่อนฉันเองก็ทำให้คนที่ฉันรักเสียใจมากและบ่อยๆ ทั้งๆ ที่เขาดีกับฉันมาก แต่ทั้งหมดเป็นเพราะฉันไม่ยอมมองโลกตามความเป็นจริง ไม่มองไปในอนาคตไกลๆ ฉันมองว่ายังไงคนที่ฉันรัก เขาก็รักยังฉันเสมอ แต่สุดท้าย คนที่รักฉันมากที่สุด และเคยสัญญาว่าจะอยู่ข้างๆ ฉัน ก็ได้จากฉันไป

ตั้งแต่นั้นมา ความคิดฉันเปลี่ยนแปลงไป ฉันมองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น มองอนาคตไกลมากขึ้น มันทำให้ฉันเข้มแข็ง มองคนลึกซึ้ง ไม่รักใครง่ายๆ และมีแต่ความหวังดีและจริงใจ มีหลายคนบอกว่าที่ฉันเป็นเช่นนี้เพราะฉันปิดตัวเอง ก็ยอมนะ ว่าในใจลึกๆ ฉันยังมีคนๆ นั้นอยู่ คนที่ดีที่สุดสำหรับฉัน แต่ถ้าเขามีความสุขกับใคร ฉันก็คงได้แต่ยืนยิ้มไกลๆ

จริงๆ แล้วเธอและเขาอาจจะไม่ต้องเคยเจอแบบฉัน เพียงแต่อยากให้ฟังสิ่งที่ฉันเล่า และลองตัดสินใจดู ว่า เธอเชื่อใจเขาได้มากแค่ไหน ว่าเขาจะเปลี่ยน ตัดความหลงทิ้งไป ทำให้ให้ว่าง มองสิ่งที่เขาทำทั้งหมดว่าจริงใจแค่ไหน และเป็นนิสัยที่แท้จริงของเขาหรือไม่ อย่าปล่อยให้ความคิดไปเองของเธอหลอกตัวเธอเอง แล้วเธอจะค้นพบคำตอบเองว่า

“สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด ดีกว่าเจ็บปวดไม่มีวันสิ้นสุด”

เธอจะเลือกแบบใด…

Share

ตรรกะใช้ไม่ได้ในชีวิต

ถ้าคุณเอา 1 + 1 ก็จะได้เท่ากับ 2
แต่ทำไมเราเอา น้ำสองแก้วหรือทรายสองกอง รวมกันเป็น 1

เพราะมันละเอียดเกินกว่าจะใช้ความเป็นตรรกะในชีวิตมาตัดสินได้
(หากใช้ตรรกะในวิทยาศาสตร์ คงต้องมานั่งนับโมเลกุลของน้ำและทราย)

จากอาชีพผมที่เป็นโปรแกรมเมอร์ ผมต้องวุ่นวายกับ ตรรกะ เสมอๆ เพราะวัตถุและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก ต้องใช้ความเป็นตรรกะควบคุมการทำงาน เช่น กดปุ่มเปิด จึงทำงาน กดปุ่มผิด จึงหยุด

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงและการใช้ชีวิต คนเราไม่สามารถนำตรรกะมาร่วมใช้ได้เสมอไป ถึงแม้จะมีกฏหมายมากำหนดความถูกผิดอยู่หลายมาตรา เช่น มีคนเห็นว่า ใครสักคนฆ่าคนตาย แต่ศาลยังไม่สั่งว่าผิด ก็แปลว่าคนนั้นไม่ผิด??

ในปัจจุบัน เรามักจะเจอ คนดังๆ ในบ้านเมืองเราหลายคน รอดดคี ทั้งๆที่หลายคนรู้ว่ามันมีเงื่อนงำและเปอร์เซ็นการทำผิดมีมากกว่า 50% แต่เพราะศาลยังไม่ตัดสินว่าผิด จึงไม่ได้กลายเป็นคนผิด

หรือแม้แต่ ผิดจริง แต่รอศาลตัดสิน ก็ยังเชิดหน้าชูตาว่าตัวเองยังบริสุทธิ์

ผมก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า คนเหล่านั้น คิดอะไรอยู่ และสังคมคิดอะไรกับเขาอยู่

เข้ามาใกล้ตัวนิดหนึ่ง เช่น เรื่องของความรู้สึก หรือ ลักษณะท่าทางการกระทำของคนๆ หนึ่ง ก็ไ่ม่สามารถบ่งบอกว่าเขาจะเป็นคนเช่นนั้นเสมอไป

เช่น ชอบมีคนมาบอกผมว่า “ผู้หญิงชอบผู้ชายขี้ตื๊อ”, “ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก”, “ผู้หญฺงชอบผู้ชายตลก” แต่เอ๊ะ บางครั้งผมก็ฟังจากปากผู้หญิง ว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ บางคนรำคาญเสียด้วยซ้ำที่มายุ่งในชีวิตเขา หรือบางคนก็รู้สึกว่าผู้ชายตลกๆ เป็นคนไม่จริงจังไม่เอาไหน

หากจะวกกลับมาเรื่องของธรรมะ ก็ย่อมเป็นดังที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“ทุกอย่าง ย่อม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป”

หรือแปลให้เข้ากับ entry นี้ก็คือ

“ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรคงที่ และไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน”

ดังนั้นแล้วจะไปหวังความแน่นอน ของ ตรรกะ กับเรื่องเหล่านี้ได้หรือ

“ทฤษฎีที่ถูกพิสูจน์”
“ตำราที่มียันทุกนับพันปี”
“กฏหมายดีๆ ที่ถูกกำหนด”
“ความรักที่มีคำมั่นสัญญา”
“ชีวิตที่เจอแต่ความสุขสบาย”
“ร่างกายที่แข็งแรงกำยำ”
ฯลฯ

Share

80 พรรษา 80 โครงการพระราชดำริ ฉบับ National Geographic

ปกติผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ National Geographic จึงมักซื้อแทบทุกเดือน แต่ก็จะดูด้วยว่า เรื่องไหนที่เราไม่สนใจ เราก็จะยังไม่ซื้อ โดยนิสัยส่วนตัวที่มีความต่าง กันในตนเองสูง จึงมักชอบอ่านอยู่สองแนวคือ สังคม และ วิทยาศาสตร์ ถ้าเจอขึ้นปก สองเรื่องนี้ มักเป็นหยิบติดมือกลับบ้านทุกครั้งไป

ฉบับเดือน ธันวาคม 2550 ก็เช่นกัน ที่ขึ้นปกด้วยพระพักษ์บนพระบรมรูปของพระเจ้าตากสินมหาราช แต่ผมก็เพิ่งจะมีโอกาสได้แกะถุงพลาสติดมาเปิดอ่าน เมื่อวานนี้เอง แล้วก็ประทับใจอย่างที่สุด

เพราะเล่มนี้ มีอภินันทนาการ เป็นหนังสือ กระดาษมัน 4 สี ขนาดเท่าตัวนิตยสาร เล่มบางๆ แต่มากด้วยคุณค่าเหลือเกิน
นั่นคือ หนังสือ “80 พรรษา 80 โครงการพระราชดำริ”

ข้างในเล่มกล่าวถึง ปนะวัติของพระองค์โดยย่อเพื่อนำทางให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ว่า ตลอดระยะเวลา 80 พรรษาของพระองค์ ได้ทำโครงการสำคัญๆ ต่างๆมากมาย ซึ่ง National Grographic ได้ยกตัวอย่างมาให้คนทั่วโลก*ได้รับรู้ 80 โครงการ

*ผมถูกใจจัง ตรงที่คำนำตอนท้ายบอกไว้ว่า หนังสือเล่มนี้นอกจากคนไทยที่ได้อ่านพร้อม National Geographic ฉบับภาษาไทยแล้ว ยังได้ถูกตีพิมพ์และแนบไปกับฉบับ National Geographic ฉบับภาษาอังกฤษที่ประเทศอังกฤษอีกด้วย

ใครยังไม่มี ลองไปหาซื้อย้อนหลังดูนะครับ เหมาะแก่การเก็บสะสมมากมาย เพราะมีพระบรมฉายาลักษณ์ เยอะมาก ทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็นมาก่อน

dsc_0007.jpg

หน้าปกครับ

dsc_0005.jpg

เนื้อหาภายใน อ่านง่าย พร้อมพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งบ่อยครั้งที่เราไม่เคยเห็น เช่น พระบรมฉายาลักษณ์ ที่ผมถ่ายมาให้ดู พระองค์ทรงกำลังสอนอะไรบางอย่างแก่บรรดานักเรียนที่เข้าเฝ้า

dsc_0004.jpg

นี่เป็นหน้าสุดท้ายของ หนังสือ 80 พรรษา 80 โครงการพระราชดำริ มีข้อความตอนหนึ่งที่ทำให้ผมน้ำตาซึมว่า

ภูมิพลมหาราช
ธ ทรงเกียรติก้องธรณินทร์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่กษัตริย์ทุกประเทศทรงยกย่องเป็นแบบอย่างอันดีงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทรงเป็นกษัตริย์นักพัฒนา และทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง ดังที่สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเนการาบรูไนดารุสซาลาม ทรงมีพระราชดำรัชในพระนามพระประมุข และผู้แทนองค์พระประมุข 25 ประเทศ เมื่อครั้งเสด็จมาร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ความตอนหนึ่งว่า

“…องค์พระประมุขและพระราชอาคันตุกะทุกพระองค์ ณ ที่นี้ ต่างรู้ซึ้ง ตระหนักได้ดีว่า เหตุใดประชาชนของพระองค์จึงได้พร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญา มหาราช

    แต่หม่อมฉัน ตลอดจนองค์พระประมุขและพระราชอาคันตุกะทุกพระองค์ ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาร่วมกันในงานวันนี้ ขอถวายพระราชสมัญญาที่เรียบง่ายแต่มีค่า และสะท้อนถึงความรู้สึกของหม่อมฉัน และทุกพระองค์ ณ ที่นี้ คือฝ่าพระบาททรงเป็น “มิตรที่รักและพึงเคารพสูงสุดของพวกเรา”

“ฝ่าพระบาททรงเป็นพลังบันดาลใจให้กับพวกเราเหล่าประมุขด้วยกัน และสิ่งนี้คือเหตุสำคัญล้ำลึกของความพร้อมเพรียงกันมาถวายพระเกียรติในครั้งนี้…”

——–

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

ความรู้สึกที่ได้อ่าน รู้สึกว่าพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อปวงชนชาวไทยทุกอย่าง แต่กลับถูกชนชั้นฝ่ายบริหารนำสิ่งเหล่านั้นมาย่ำยีหาประโยชน์ใส่ตน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม รวมไปถึงชนชั้นประชาชนทั่วไปแบบเราๆ ท่านๆ ที่กำลัง ละเลย ปล่อยให้พระเสโท(เหงื่อ) ของคนที่เราบอกว่ารัก ต้องสูญเปล่า ท่านทำเช่นกันนี้กับพระองค์ท่านได้ลงคอเชียวหรือ??…

Share