Category Archives: บันทึกของชีวิต

บทสัมภาษณ์ อาจารย์ ฌาณเดช พ่วงจีน: ตำนานจอมขมังเวทย์แห่งล้านนา

ท่านที่สัมผัสชุมชนขวัญเมือง หรือ เคยเข้าเวิร์คชอปของสถาบันมาในช่วง 2-3 ปีนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก 1 ใน 6 กระบวนกร ผู้มีความสะดุดตามากที่สุดตั้งแต่แรกเห็น เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก อาจารย์ ฌาณเดช พ่วงจีน ครูมวยจีน ไท้ฉีฉวน ผู้สืบทอดศาสตร์แห่งพลังภายในอันเก่าแก่กว่า 4,000 ปีของจีน ท่านผู้นี้เมื่อดูผิวเผิน ช่างเงียบขรึม ดุดัน สีหน้าท่าทางน่ากลัว และน่ายำเกรง มีบุคลิก นิ่ง สงบ ไว้ผมยาวรวบ ทั้งไว้หนวดเครา รวมถึงการแต่งกายเยี่ยงนักพรตผู้ทรงศีล แต่ร่างกายกลับกำยำล่ำสัน ตรงกันข้ามกับวัยที่ล่วงเลยไปมากแล้ว กล้ามเนื้อที่เห็นขึ้นชัด มีมือขนาดใหญ่ หนา กร้าน องค์ประกอบทางกายภาพเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแกร่งกล้า อาจหาญ สมชายชาตินักรบ ผู้ฝ่าฟันชีวิตกรำศึกหนักมาอย่างโชกโชน

แต่เมื่อเพียงมีโอกาสได้พูดคุยปสาทะ เพียงชั่วครู่ยาม ท่านจะสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากแววตา น้ำเสียงสนุกสนานเป็นกันเอง ลีลาท่าทาง ร่าเริงดุจดังเด็กน้อย อารมณ์ดี มีมุขขำขันในที แล้วท่านก็จะรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในความแตกต่างระหว่างโลกภายนอกที่เราเห็น และโลกภายในตัวอาจารย์ มิวายเขกหัวตัวเองในใจที่ด่วนสรุปตีความตัดสินครูบาท่านนี้ ด้วยความใจร้อนอ่อนด้อยปัญญาและมองโลกอย่างตื้นเขินของตัวเอง และหลายท่านอาจสงสัยมานาน ว่าอาจารย์เข้ามาอยู่ในชุมชนขวัญเมืองได้อย่างไร และมีประวัติความเป็นมาอันลึกลึบซับซ้อนเพียงใด ต่อไปนี้เป็นบทสรุปคำสัมภาษณ์ยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง ที่อาจารย์ได้กรุณาให้เกียรติผม เรือรบ มีโอกาสเป็นสะพานส่งผ่านนำสารนี้ เปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก บอกได้เลยว่า ยิ่งกว่านิยายจอมยุทธ์กำลังภายในที่เราเฝ้าอ่านจนวางไม่ลงเสียอีก เกริ่นมาขนาดนี้ น้ำย่อยในท้องท่านคงร้องไห้กระจองอแง กระหายใคร่รู้ รสชาดความมันส์อันคาดไม่ถึงกันแล้ว ถ้าพร้อมกันแล้ว กรุณาเปิดตา อ้าปาก เปิดให้ทวารทั้ง 6 ได้บริโภคหฤหรรษ์แห่งวาทะการของอาจารย์ได้พรักพร้อมกัน ณ บัดนี้…


เรือรบ : ผมอยากเริ่มคำถามแรกว่า อาจารย์ เข้ามาร่วมงานกับสถาบันขวัญเมืองได้อย่างไรครับ?

อ.ฌาณเดช : ผมได้บังเอิญรู้จัก อ. วิศิษฐ์ วังวิญญู นานมาแล้ว ที่บ้าน อ. สอ (สุลักษณ์ ศิวรักษ์) ตอนนั้นไปเจอกันแต่ก็ไม่ได้รู้จักกันมากมาย เมื่อก่อนนี้ 5 ปีที่แล้ว ตอนเช้าผมสอนมวยจีน ตอนสายทำงานธนาคาร พอเลิกงานกลางคืนก็เป็นอาจารย์สอนกรรมฐาน ก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ 16 ปีกว่า ต่อจากนั้นก็ลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ก็เบื่ออีก ดูๆไปเหมือนชีวิตมันไม่มีสาระ งานประจำ ชีวิตไม่ได้มีความหมายลึกมากไปกว่านั้นเลย รู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ เลยบอกภรรยา คุณแอ๋ว ว่าผมอิ่มตัวแล้วจะขอไปอยู่ต่างจังหวัดสักพัก ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ ว่าแล้วผมก็แพ็คกระเป๋าขึ้นรถทัวร์ ออกเดินทางขึ้นเหนือ ได้ข่าวเพื่อนที่เคยธุดงค์ด้วยกันและไม่ได้เจอกันนาน ข่าวว่าท่านจำวัดอยู่ที่วัดท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งวัดนี้เป็นวัดที่สวยมาก ฮวงจุ้ยมังกรห้าตัว กะว่าจะไปหา ไปขอฝึกกรรมฐานสักหน่อย ไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีเลยนะ ไม่ได้ติดต่อกันเลย ก็ไปถามหาพระอาจารย์สุเทพ ปรากฏว่าเจอด้วย ท่านก็ดีใจมาก ก็เลยได้นั่งคุยกันทั้งคืนเลย ท่านก็หาที่พักให้ดิบดี บอกให้ผมพักให้สบายก่อน ท่านว่าผมมีพื้นฐานทางด้านสมถะมาก่อน มีพลังเยอะ ให้มาช่วยท่านสอนกรรมฐานแล้วกัน ผมก็เริ่มสอนกรรมฐานพระ ฝึกให้พระรำมวย ตรงนั้นก็เลยค่อยๆกลายเป็นวัดเส้าหลินเลย(หัวเราะ)

เรือรบ : แล้วช่วงนั้นอาจารย์ไม่คิดจะบวชหรือครับ ?
อ.ฌาณเดช: ท่าน อ.สุเทพก็ถามเหมือนกัน แต่ผมปฏิเสธ ผมเคยบวชมาก่อนแล้วผมว่า การเป็นพระทำให้เราทำอะไรได้น้อยเหลือเกิน ผมขอเป็นนักพรตอย่างนี้ดีแล้ว ก็เลยอยู่ที่นั่น จนวันหนึ่ง อ.วิศิษฐ์ มาจัดคอร์สอบรมที่วัดท่าตอน คนก็เยอะมาก มาเจอ ดร.เอเชีย หมอวิธานก็มาเจอกันที่นั่น เขาใช้หัวข้อว่า มณฑลแห่งพลัง ไอ้เราก็เอ๊ะ ใครนะ แหมมาใช้ชื่อนี้ได้ มันจะมามีมณฑลแห่งพลังเท่าเราได้ยังไงว้า ตอนนั้นก็ยังมีอัตตาค่อนข้างเยอะ เราก็อยากจะดูหน้าหน่อยซิ มาเห็นหน้าอาจารย์ยิ้มๆ เราก็สัมผัสได้ทันทีว่า คนๆนี้ไม่ธรรมดา น่าสนใจ แล้วแกก็เชิญให้ผมเข้าไปร่วมด้วย แกก็ให้เวลาในช่วงบ่ายกับผม ให้ผมนำเสนออะไรที่ผมมี โปรโมทให้นิดหน่อย สุดท้าย ผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็ได้มาเรียนมวยกัน พวกเขาก็ได้รู้ว่า เวลาที่ร่างกายเคลื่อนไหว ก็ทำให้เกิดสมาธิ เกิดพลังที่สัมผัสได้ ทุกบ่ายก็มาเรียนกัน แกก็เริ่มเห็นว่ามันจะมาเชื่อมโยงกับกิจกรรมการเรียนรู้ของแกได้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้น

อาจารย์เค้าก็เริ่มเชื้อเชิญ ถามผมว่าอยู่ที่นี่ ผมจะอยู่อย่างไร มีรายจ่ายอย่างไร มันไม่น่าเหมาะสำหรับผม แกว่า เอางี้มั้ย ยิ่ง ลูกชายผม ดิน หลานผมเค้าได้สัมผัสอาจารย์แล้ว เค้าตามหาอาจารย์สอนมวยมานาน ผมขอเชิญอาจารย์ไปเชียงราย มาดูแลสอนลูกหลานผม หลังจากนั้นผมก็ไป ได้ไปนอนบ้านน้องชายของ อ.วิศิษฐ์ คืออาปรีชา เป็นน้องเขยแม่ของ ณัฐ (ณัฐฬส วังวิญญู) นั่นแหละ ผมก็ได้คุยกับณัฐ แล้วก็พบว่า เฮ้ยไอ้เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ธรรมดาอีกเหมือนกันเว้ย คือเวลาเค้าพูดคุย ถามอะไรแล้วมันเชื่อมต่อกันได้ดี เด็กอายุขนาดนี้ คุยได้ลึกขนาดนี้น่าสนใจมาก ก็เลยได้ไปทำงานด้วยกัน ชอบเรื่องภาษาของเค้า เค้าผลิตภาษาได้คมคายมาก

เรือรบ : อาจารย์ก็เลยพาครอบครัวย้ายจากกรุงเทพมาเชียงรายเลย ?
อ.ฌาณเดช : ใช่ บ้านอิงดอยนี่ผมไปอาศัยอยู่เป็นหลังแรกเลยนะ มันมีสถานที่เพียงพอ ภายหลังผมก็เชิญคนมารำมวย ก็มีคนมามากขึ้น อ.น้องก็เริ่มเข้ามาอยู่หลังใกล้กัน ภายหลัง อ.มนตรีก็กลับมาจากการทำธุรกิจที่กรุงเทพก็ย้ายเข้ามาอีก ตอนนั้นก็เริ่มก่อร่างเป็นชุมชนเล็กๆขึ้นมา

เรือรบ : เมื่อกี้เราพูดถึงเรื่องราวตอนที่อาจารย์ได้เข้ามาในชุมชนแล้ว คราวนี้อยากทราบประวัติในช่วงต้นของชีวิตอาจารย์ครับ อาจารย์ผ่านอะไรมาบ้าง ที่ทำให้มาเป็นตัวเองในทุกวันนี้ ?
อ.ฌาณเดช : นี่จะซักประวัติกันเลยเหรอ (ยิ้มแล้วเงียบไปสักพัก) ก็เกิดฝั่งธนฯ ที่ รพ.ศิริราช เป็นเด็กแถวสามแยกไฟฉาย เด็กๆญาติเยอะมาก เครือข่ายครอบคลุมเยอะไปหมด เป็นลูกคนจีน นามสกุลพ่วงจีนก็เป็นตระกูลใหญ่ ทวดมาจากเมืองจีน แซ่จาง แต่ก่อนแถวนั้น เป็นกรมอู่ทหารเรือ อาซึ่งเป็นน้องคนเล็กของพ่อ ก็เป็นทหารเรือ ทหารเรือสมัยนั้นช่วงรอยต่อสงครามโลก พวกนี้จะเก่งมากเรื่องการต่อสู้นะ โดยเฉพาะมีดพับมีดโกน เก่งมาก อาเค้าก็จะเป็นนักสู้พวกนี้ ส่วนลุงก็เป็นนักเลงคุมแถวนั้นด้วย ผมเห็นประจำก็เลยติดมา ผมเรียนที่โรงเรียนวัดมกุฎแล้วไปต่อที่เทพศิรินทร์ ช่วงวัยรุ่นก็เด็กชาวสวน ชอบผจญภัย ต้นหมากเล็กๆก็ไปรับจ้างขี้น ต้นมะพร้าวก็รับขึ้น ก่อนนี้ก็ฝึกมวยไทยมาก่อน ตั้งแต่สิบกว่าขวบ ไปต่อยขึ้นเวที ได้ตังค์ด้วย

เรือรบ : ทำไมอาจารย์ถึงชอบมวยตั้งแต่เด็กๆ มีแรงดลใจอะไรหรือเปล่า ?
อ.ฌาณเดช : สมัยเด็กๆ ไปซื้อน้ำแข็งให้พ่อ หิ้วกลับมา มันก็มีเด็กวัด สามสี่คนมาแซว เราไม่ชอบ ก็วางน้ำแข็งเดินไป ถามว่ามีอะไรรึป่าว มันก็ว่า มีสิ มาต่อยกันรึเปล่า ก็พากันไปลานหน้าวัด มีต้นโพธิ์ต้นใหญ่ มันน่ะเป็นมวย เราไม่เป็น พอเราเข้าไปนะ ไม่ทันจะได้ต่อยมันเลย โอ้โห มันสาดแข้งเข้าอั้กๆ ที่ซี่โครง เราเข้าไปไม่ได้ สู้ไม่ได้ ต้องยอมแพ้มัน แต่เราก็คิดว่าเราจะเอาคืน เอาน้ำแข็งไปให้พ่อแล้วกลับมาอีก กะว่าจะชิงต่อยก่อน พอรี่เข้าไปก็โดนอีก คราวนี้เต็มๆ เราต้องยอมแพ้ไปเลย พอเรากลับมานะ ตอนเช้านั่งส้วมไม่ได้ ระบมไปหมด น่วมไปทั้งตัว ตอนนั้นมีเพื่อน ที่เป็นน้องชายของพี่แดง (สมพงศ์ เจริญเมือง) สมัยก่อนเป็นนักมวยที่ดังมาก เราก็ให้เพื่อนพาไปหาพี่ ไปค่ายมวย เราก็เลยเริ่มฝึกมวยตอนเลิกเรียน เริ่มตั้งแต่โดดเชือก เริ่มวิ่งทุกเช้า จากสามแยกไฟฉายไปสะพานปิ่นเกล้า ก็ค่อยๆซ้อม เตะกระสอบทรายผสมขี้เลื่อย ขานี่แข็งหมด เดี๋ยวนี้กระสอบเป็นผ้าหมดแล้ว ฝึกอย่างนี้ครึ่งปี เริ่มไปเวทีราชดำเนิน ไปดูรุ่นพี่ มันดูท้าทายมาก ค่ายนี้เน้นปะทะ รุกมากกว่ารับ อาวุธที่เด่นคือหมัด สมัยก่อนผมชอบดูการ์ตูนหน้ากากเสือ ชอบที่เห็นมีการสร้างท่าต่อสู้ใหม่ๆ มีนวัตกรรมตลอด ก็เห็นว่า มวยนี่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้หมัดอย่างเดียว ก็พยายามคิดสร้างสรรค์ท่าต่อสู้ของตัวเองเพิ่มเติม

เรือรบ : พอไปต่อยแล้วชนะไหมครับ ?
อ.ฌาณเดช : ผมต่อย 8 ครั้งไม่เคยแพ้เลย ตอนแรกก็ไปต่อยต่างจังหวัดก่อน ลพบุรี ตอนหลังก็มาราชดำเนิน พอต่อยชนะมากเข้า พี่แดงก็เห็นแวว ค่าตัวก็เริ่มแพง เป็นมวยดาวรุ่ง ก็เลยให้เราไปขอพ่อ เพื่อต่อยมวยอาชีพ ที่ผ่านมาพ่อแม่ไม่เคยรู้เลย พอพ่อผมรู้โกรธใหญ่เลย แกไม่อยากให้ผมเจ็บตัว แกเสียใจ แล้วก็ขอร้องให้ผมเลิก ผมก็เลิกต่อย ตามใจพ่อ เราก็รักพ่อ ไม่อยากให้แกทุกข์เพราะเรา ก็กลับมาตั้งใจเรียนหนังสือ แต่ก็มีแอบซ้อมไว้บ้าง เตะต้นกล้วยของป้าหักประจำ ซ้อมมาเรื่อยๆ ตอนจบมาก็เรียนรามฯ แต่ตอนนั้นก็เริ่มมาสนใจเรื่องภายในแล้ว

เรือรบ : ยังวัยรุ่นอยู่ ทำไมพลิกผันมาสนใจเรื่องจิตใจล่ะครับ ?
อ.ฌาณเดช : คือช่วงนั้นเพื่อนๆที่เป็นนักเลงที่โตมาด้วยกันตายกันหลายคน คนโน้นตาย สักพักคนนี้ก็ตายอีก เห็นหลายคนเข้า เราก็สงสัยว่า เราเกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน ตอนหลังก็ได้ไปเจอ อ. ชุม ชัยคีรี ศิษย์เขาอ้อ รุ่นเดียวกับ ขุนพันธรักษ์ราชเดช ไปเรียนกับท่านเลย ไปเรียนกรรมฐาน วิชาไสยศาสตร์ ไปอยู่บ้านแกเลย เรื่อง พวกนี้ทำได้จริงนะ ของจริง เป็นเหมือนโรงเรียนพ่อมดเลย เรียนแล้วก็ลอง กว่าจะผ่านแต่ละวิชาหลายเดือน บางวิชาเป็นปีเลยกว่าจะทำได้ มันไม่ได้ไว้ทำร้ายคนนะ เป็นศาสตร์ทางจิต เป็นกีฬาทางจิตชนิดหนึ่ง ยุคก่อนเอาไว้ช่วยบ้านเมืองได้ นายทหารใช้ออกรบ แต่ตอนหลังที่หยุดไป เพราะช่วงท้าย อาจารย์ท่านจะเสีย ท่านก็สั่งไว้ล่วงหน้าสามเดือน ท่านก็สอนว่าความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ทำให้เราไม่ตาย แม้ว่าจะคงกระพันหนังเหนียวก็ต้องตาย แต่ถ้าเราต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับภายใน ให้มุ่งไปสายนิพพาน นั่นคือทางสายกลางตามธรรมะของพระพุทธเจ้า ก่อนนี้ก็ฝึกสมถะเยอะมาก เอาเป็นเอาตาย นั่งเจ็ดวัน ฝึกกสิณด้วย เข้าฌาณ เค้าสอนคัมภีร์ มูลกันจาย อันนี้ตรงกับวิทยาศาสตร์ใหม่ บอกถึงจุดเริ่มต้นของจักรวาล มีตัวพินทุ เป็นวงกลม เหมือนเต๋าที่ผมได้เรียนอีกทีภายหลัง เรื่องนี้ที่ ฟิจอบ คาปร้า สนใจมาก อันเดียวกันเลย พินทุ แตกออกมาเป็น 5 ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ตรงกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ แตกออกเป็น ไตรรัตน์ เข้าสู่ศูนย์มหาศูนย์แล้วก็เข้าสู่ศูนย์นิพพาน ซึ่งตรงกับเต๋า เต๋าจะพูดถึงความว่างสู่ 2 ขั้ว หยิน หยาง เป็น 5 ธาตุสู่ความว่าง

เรือรบ : อาจารย์ครับ วันนี้ผมอยากให้ช่วยอธิบายขยายความวิชาไสยศาสตร์ที่เรียนมาด้วยครับ เป็นมนต์ดำเหมือนที่พวกเราดูในหนังหรือเปล่า ?
อ.ฌาณเดช : ไสยะ ที่มันแปลว่า ทำให้มี ทำให้เป็น ทำให้เกิด ไสยศาสตร์ คือ วิชาที่ทำให้เกิดบางสิ่งได้ ทีนี้เราพอเราพูดถึงคุณไสย ไปมองว่ามันเป็นมนต์ดำ ทำร้ายคน อันนั้นมันเป็นมุมมองจากในหนัง แต่ที่ผมเรียน ผมเรียนในวัด วัดเขาอ้อ จ. พัทลุง คนสมัยก่อนเค้าเรียก สำนักตักศิลา ขุนพัน (ขุนพันธรักษ์ ราชเดช)ท่านก็มาเรียนที่นี่ เป็นที่ที่นายทหารแม่ทัพนายกองจะมาเรียนเพื่อไปรบ ไปช่วยบ้านเมือง ที่นั่นก็เป็นเหมือนกับโรงเรียน อาจารย์ทอง จะเป็นปรมาจารย์ใหญ่ตอนนั้น แล้วอาจารย์ชุม ชัยคีรีกับขุนพันฯ ตอนนั้นยังเป็นร้อยตรีเป็นศิษย์รุ่นเดียวกัน เรียนมาด้วยกัน ส่วนผมก็ไปเรียนกับอ.ชุมอีกที ผมใกล้ชิดกับ อ.ชุม มาก ท่านเล่าว่าตอนเด็กๆ ท่านเกิดมาในตระกูลจอมขมังเวทย์ แต่ยังไม่ได้เรียนวิชาอาคม วันนึงมีคนมาเรียนอุดปืน คือปืนจะยิงไม่ออก ท่านก็ไปแอบฟัง พอเค้าเผลอ แกก็ไปเอาปืนมาเสกตามที่จำมา เจ้าของปืน เอาปืนไปล่าสัตว์ พอยิงไป มันไม่ออกข้างหน้า ดันมาออกข้างหลัง ก็เลยระเบิด บาดเจ็บ แต่ไม่ถึงตาย ก็มาฟ้องพ่ออาจารย์ ก็เลยรู้ว่ามาจากอาจารย์

เรือรบ : แล้วอย่างนี้อาจารย์ได้เรียนวิชาอะไรมาบ้างครับ ?
อ.ฌาณเดช : ที่เขาอ้อก็จะมี วิชาคงกระพัน กันปืน วิชากระสุนตก มหาอุด เจ็ดช้างสาร กำบังล่องหน สะเดาะกุญแจ พวกนี้เรียนมาหมดแล้ว พอเรียนแล้วต้องลองทำจริง อาจารย์ที่นี่จะเหมือนสายวชิรยาน คือการจะเรียนรู้พัฒนาภายในต้องให้เราเข้าไปสู่ความเปราะบางมากๆ สร้างสถานการณ์ขึ้นมาทดสอบจิตใจเรา เวลาที่มนุษย์กลัวสุดๆ คือกลัวตายนี่ ความรู้ที่บ่มเพาะจะถูกดึงมาใช้อย่างมหาศาล อาจารย์ก็จะทดสอบเราตรงนี้ ด้านที่เป็นคุณก็มี เมตตามหานิยม ให้คนรัก วิชามหาเสน่ห์ เสกแป้งผัดหน้า ให้สาวรักสาวชอบ จริงๆแล้วพวกนี้ก็คือเรื่องคลื่นสมองนั่นแหละ อันเดียวกันเลย อาจารย์เค้าจะให้ท่องมนต์จนขึ้นใจ สร้างสมาธิจนสมองไปสู่คลื่นเทต้า ในมนต์ก็มีความหมาย เป็นแหล่งพลังงานที่ถูกค้นพบโดยผู้ที่บรรลุในสมัยก่อน ก็เปรียบเป็นสวิทช์ไฟ เมื่อกดสวิทช์ได้ ไฟก็สว่าง เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ เค้าผูกมาด้วยอำนาจของสมาธิ ฌาณสมาบัติ รวบรวมพลังงานสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ จริงๆมันเริ่มมาจากความว่าง เหมือนหลักควอนตัมฟิสิกส์นั่นแหละ ที่ทำได้อะตอมหรืออนุภาคโยกย้ายมารวมกันให้เกิดสิ่งใดๆได้ ไสยศาสตร์จริงๆก็คือ ควอนตัมฟิสิกส์ อาจารย์ก็มาค้นพบภายหลังเหมือนกันว่ามันเรื่องเดียวกัน

เรือรบ : ในช่วงวัยรุ่นที่อาจารย์บอกว่า เห็นเพื่อนตาย เลยหันมาถามคำถามชีวิต หันมาสนใจภายใน แล้วตอนนั้น ไปพัทลุง เพื่อไปเรียนไสยศาสตร์หรือ แล้วเรียนหนังสือหรือเปล่าครับ ?
อ.ฌาณเดช : เปล่า โชคดีที่ อ.ชุม ย้ายมาเปิดสำนักที่กรุงเทพ ผมเรียนรามฯอยู่ช่วงนั้น ตามประสาเด็กผู้ชาย ชอบเรื่องการเป็นนักเลงมาตั้งแต่เด็ก คือผมได้รับอิทธิพลมาจากปู่ ท่านให้เขี้ยวหมูตันไว้ เป็นความศักดิ์สิทธิ์ คงกระพัน อาจารย์ก็เชื่อ ก็ห้อยไว้ วันนึง ไปเที่ยวกับเพื่อน มันเมาโวยวาย เลยมีเรื่อง โดนไล่ตีวิ่งหนีกันมา เพื่อนโดนตีเละเลย เราก็โบกสามล้อ แล้วอีกมือลากเพื่อนมาด้วย พวกมันก็ขับมอเตอร์ไซค์ไล่ตามมา มาติดไฟแดงตรงแยกพรานนก มันตามมาทัน ควักปืน จุด38 ออกมา ยิงเต็มเหนี่ยว เข้ากลางอกผมเลย ตรงลิ้นปี่ ผมหงายเลย มันร้อนผ่าวไปหมด ผมก็คิดว่าไม่รอดแล้ว ฝ่ายนั้นก็นึกว่าผมตาย บึ่งรถหนีไป แต่พอมาดู ที่ไหนได้แค่ฟกช้ำ แต่ไม่เข้า ตั้งแต่นั้นเราก็ยิ่งเชื่อใหญ่ ต่อยตีกับใครก็ไม่กลัว แล้วก็ไม่เคยเป็นอะไร

แม้ว่าผมไม่เป็นอะไร แต่เพื่อนค่อยๆล้มหายตายจากไปทีละคน ผมก็มานอนคิด คนเราตายแล้วไปไหน นรกสวรรค์มีจริงไหม มีชีวิตไปเพื่ออะไร ก็มาเริ่มสวดมนต์ ท่องชินบัญชรได้จนขึ้นใจ ท่องทุกคืนได้ถึง 108 จบ ก็อธิษฐาน ขอให้เราได้ครูที่จะนำพาไปในสิ่งที่เราอยากรู้ คนที่รู้จริง ทำได้จริง
วันหนึ่งวันหยุด ผมก็นอนกลางวัน กำลังเคลิ้ม ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ร่างสูงผิวคล้ำ รูปหน้าสวยมาก ผมยาว เดินมายืนบนหัวเรา เราหลับตาแต่เห็นอยู่ แกก็พูดว่า อยากเรียนวิชาพวกนี้หรือ ถ้าอยากเรียน มีอยู่สองที่ สำนักวัดเขากก นครสวรรค์ กับ อ. ชุม ชัยคีรี สองที่นี้ ไปเรียนซะ เราก็ลืมตาขึ้น เฮ้ย ไม่มีนี่หว่า ฝันหรือ ก็ไม่น่าใช่ หูยังได้ยินเสียงทีวีอยู่เลย ไม่นานต่อมาเดินผ่านไปแผงหนังสือ เปิดหนังสือมาเล่มหนึ่ง ชื่อหนังสือมหัศจรรย์ มีเขียนว่า อ.ชุม ชัยคีรี กำลังจะปลุกเสกตระกรุด เราก็ตก ใจ เฮ้ย มีจริงนี่หว่า ก็ตามไปหาแถบประดิพัทธ์

พอเราเดินเข้าไปสำนักอาจารย์ มองไปชั้นสอง เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดขาว ยืนยิ้มอยู่ แกบอก มาเลยพ่อรอลูกอยู่แล้วลูก เราก็ตกใจขนลุกเลย ก็ไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ ซื้อดอกไม้เครื่องบูชาไปยกครูตามที่แกบอก แล้วก็เริ่มสอนอานาปานสติให้เรา ให้ฝึกการกำหนดลมหายใจ การรับรู้ สักพักท่านก็เดินไปหยิบมีดโกนมา เงาวับเลย เสกมนต์พึมพัมบนกระหม่อมเรา เริ่มโกนขนที่แขน ขนร่วงกราว มันคมมาก แกก็ปาดแขน ลื่นวืบ ไม่เข้า แกก็เริ่มปาดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย ก็ไม่เข้าอีก เราก็ตะลึง เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก มีวิชาแบบนี้จริงๆด้วย แกก็ให้มนต์เราไปท่อง ต้องท่องให้ขึ้นใจ ห้ามผิดพลาด สมาธิต้องนิ่งมาก ต้องมาสอบกับแก ถามปุ๊บ ต้องตอบได้ทันที ท่องๆอยู่ มาตบมือใส่ให้ตกใจ ต้องท่องต่อได้ ห้ามหลง ทำอยู่แบบนี้จนคล่องมากๆ พอท่องจนชำนาญ ผ่านแล้ว ก็ต้องไปทำ

คราวนี้ ท่านให้เสกมนต์ใส่วัตถุ ก็เหมือนปลุกเสกนั่นแหละ เสกใส่พลูที่ไว้กินกับหมาก ปกติพลูจะฝาด ต้องเสกจนกว่าจะเปรี้ยว ท่านก็วางไว้ 5 อัน ต้องเสกไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกอันจะเปรี้ยว เอามาเคี้ยวก็ต้องท่องไปด้วย ทำแบบนี้ไปจนมันซึมไปในเซลเลย แล้วพอถึงวันสอบ อาจารย์ก็จะมานั่งเรียงหน้าเรา เอาพลูมาวาง เราก็ต้องเสกจนเปรี้ยว เอามาเคี้ยวแล้วกลืน ตอนนั้นร่างกายมันตึงเปรี๊ยะเลย แล้วเค้าก็เอามีดดาบมา บอกให้เรากำหนด เมื่อมีดถูกตรงไหน ให้ตรงนั้นเป็นเหล็ก เป็นเพชร เป็นหิน มันคือการอัดอนุภาค โมเลกุลในร่างกาย ให้มารวมกันแน่นในที่เดียว ให้มันแน่นจนดาบฟันไม่เข้า เราต้องบริกรรมจนจิตนิ่ง จิตต้องไม่กระดิกเลย ต้องค่อยๆกดมีดลงเบาๆก่อน พอเริ่มลื่นเป็นใช้ได้ เริ่มกดหนัก เริ่มเปลี่ยนไปทำในที่ต่างๆ ต้องฝึกอย่างหนัก บางทีก็ไม่ได้ มันเจ็บแปล๊บ แขนลายหมดเลย ก็ต้องฝึกแบบนี้

เรือรบ : เรียนอยู่นานไหมครับ ?
อ.ฌาณเดช : เรียนอยู่ 7 ปี แต่ตอนนั้นผมก็เรียน ม.รามไปด้วย กลับบ้านอ่านหนังสือ ไปสวดมนต์ พ่อ แม่ ก็วางใจเห็นเราธรรมะธรรมโม ก็แอบเรียนอยู่ มีอีกวิชา คือกันปืน ต้องเริ่มจากอุดปะทัดให้ได้ก่อน กำปะทัดไว้ แล้วจุดไฟ ท่องมนต์ ปะทัดต้องไม่ระเบิด ทำแรกๆ ระเบิดคามือ เจ็บมาก ทำไม่ได้เลย ฝึกไปครึ่งกล่องก็ยังไม่ได้ กลางคืนนอนหลับ ก็ฝัน มีอาจารย์มาแนะวิธีว่าต้องผ่อนคลาย เช้าขึ้นมา ตื่นมาทำก็ยังทำไม่ได้ จนเบื่อ อยากเลิก ปรากฏว่าพอไม่อยากทำ เริ่มผ่อนคลาย กะว่าทำไม่ได้ก็พอดีกว่าวันนี้ ปรากฏว่า ฟุ๊บ ดับเลย มันทำได้ เราก็เอ๊ะ ปะทัดด้านรึเปล่า ไม่เชื่อ ทำอีก ทำยังไงคราวนี้มันได้หมด ก็เป็นอันว่าทำได้ อีกวิชาคือ กระสุนตก ก็ต้องฝึกบริกรรมให้ดอกบัววนขวาในน้ำให้ได้ จึงเริ่มฝึกได้ ต้องมีลูกประคำทำด้วยว่านกินเหล็ก เราก็นั่งบริกรรมไป อาจารย์เอาปืนเล็กยาวมาประทับยิง เราต้องสร้างกำแพงแก้ว 7 ชั้นล้อมร่างกาย พอยิง โป้ง กระสุนร่วงกราว คือทุกอย่างแลกมาด้วยชีวิต เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากๆ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้คิดอะไร เราเชื่อทุกอย่าง ว่ามันเป็นไปได้

มีอีกวิชาเป็นวิชาสะเดาะกุญแจ ไปเรียนในป่า กาญจนบุรี ไปเรียนอยู่ในถ้ำ พอตอนตีสอง อาจารย์แกก็จะพาเราเดินเข้าไปในป่าลึก ถือคบไฟไปเลย ป่ารกมาก ไปเจอต้นตะเคียนใหญ่ หลายคนโอบ เอาโซ่มาล่ามมือเราไว้ กับต้นไม้ใช้กุญแจมือตำรวจล็อคอีกทีหนึ่ง แล้วก็บอกคาถาให้เดี๋ยวนั้น ให้เราท่องทวน แล้วท่านก็เดินจากไป ก่อนไปก็บอกว่า แถวนี้นะ ผีดุ เสือก็เยอะ งูก็มี ปล่อยเราไว้กับความมืด เราก็อึ้งไปสักพัก ความกลัวก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามา เสียงนกแสกร้อง มีเสียงแปลกๆมาเรื่อยๆ เรากลัวมาก บริกรรมเท่าไหร่ กระตุกเท่าไหร่ก็ไม่ออก พอกลัวที่สุด นึกถึงครูบาอาจารย์ คือติดต่อกับจิตไร้สำนึกได้ มันก็ดังเคร้ง โซ่หลุดติดมือมา เราก็วิ่งไม่คิดชีวิตกลับมาถ้ำ ขวัญผวามาก ลากโซ่กลับมา อาจารย์ก็นั่งยิ้ม ถือโถน้ำมนต์มารอ พอได้สติเห็นความแปลกมาก กุญแจไม่หลุด แต่โซ่มันผ่านต้นไม้ออกมาเลย ก็ลากกลับมาทั้งอย่างนั้น ช่วงหลังๆรุ่นน้อง โหดกว่านี้อีก เอาลงเรือ มัดมือใส่กุญแจ แล้วถีบลงน้ำ ถ้าสะเดาะไม่หลุดนี่จมน้ำตายได้เลย แต่ก็รอดกันมาได้

เรือรบ : ผ่านมาจน อ.ชุมใกล้จะเสีย อาจารย์ถึงได้เลิกเรื่องไสยศาสตร์หรือครับ ?
อ.ฌาณเดช : อ.ชุม ก็สั่งเสียไว้ ที่เรียนมาก็ดีอยู่แล้ว ได้รู้หมดแล้ว แต่ที่ฝึกมามันไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ บอกเราไว้ก่อนสิ้นใจ เราก็ยังภูมิใจ ถึงอย่างไรเราก็ผ่านมาหมดแล้ว เราได้รู้จริงในเรื่องอย่างนี้ ไม่ใช่เชื่องมงาย ไม่ใช่ฟังเอามาพูด แล้วก็เป็นผู้ได้สัมผัสจริงๆ ก่อนที่เรื่องเหล่านี้จะหายไป เรียกได้ว่าเป็นรุ่นสุดท้ายก็ว่าได้ หลังจากอาจารย์เสียเราก็แยกตัวออกมา เราเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ พอคนได้ไป กลายเป็นอีโก้ กร่างกันใหญ่ มางานศพไหว้ครู เห็นรุ่นพี่มาอวดวิชากัน เห็นแล้วเกิดความเบื่อหน่าย ภาพนี้เรารับไม่ได้ เราเห็นว่าไม่ใช่ เลยแยกตัวออกมา ไม่ได้กลับไปอีกเลย

แล้วจากนั้นก็เข้าหาทางธรรม ไปฝึกกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ครูบาอาจารย์สายนี้ผมก็จะรู้จักทุกท่าน ก็จะเป็นอานาปานสติ บริกรรมพุทโธ ที่ไปอยู่ด้วยคือ พระอาจารย์คำทอง อุติสโส เป็นเพื่อนกับพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ตอนที่ไปหาท่านนะ ไปถึงค่ำๆ ปรากฏว่ามีเณรมายืนรอ บอกหลวงตาให้มารอ โห แปลกมากเลยนะ เจอแต่เรื่องแบบนี้ ก็ไปอยู่กับท่าน นุ่งขาว เช้าไปบิณฑบาตกับท่าน เริ่มไปธุดงค์ อยู่ถ้ำ ท่านก็จะให้อดอาหาร 7 วันเลย ไม่กินอะไรยกเว้นน้ำ แล้วก็ให้ค่อยๆเข้าฌาน ก็เริ่มต้นด้วย 3 ชั่วโมง 5 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง มันจะเข้าไปอยู่ในความว่างเลย ปึ๊ง เข้าไปแต่ต้องอธิษฐานก่อน ว่าจะอยู่เท่าไหร่ ต้องชำนาญในการเข้าและออก ในนั้นจะเป็นความว่าง สว่าง อีกอันนึงคือการท่องไปตามภพภูมิ แต่ละครั้งเราก็อธิษฐานไปในที่ต่างๆ อาจเป็นที่ที่คุณธรรมของเราไปถึง สวรรค์ชั้นต่างๆหรือไปดูอดีตชาติ การไปแบบนี้เพลินกว่า เป็นโลกียสุข ตอนเข้าไปเหมือนไม่กี่ชั่วโมง แต่เวลาจริงหมดไปเป็นวัน ส่วนกายเนื้อต้องดูแลให้ดี ต้องมีคนเฝ้าหน้าถ้ำ คอยระวัง ไม่ให้ใครไปโดน

เรือรบ : อาจารย์ฝึกอย่างนี้อยู่กี่ปี แล้วเรื่องทางโลกล่ะครับ?
อ.ฌาณเดช : ฝึกอยู่ 12 ปี แต่ตอนนั้นก็ยังทำงานแบงค์อยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจงานเหมือนคนอื่นเค้า เช้าทำงานเย็นกลับบ้าน ลูกศิษย์ก็จะมารอ สอนกรรมฐานถึงสามทุ่ม เป็นอย่างนี้ทุกวัน ไปฝึกจริงจังอยู่ 4 ปี ที่เหลือก็กลับมาฝึกเองแล้วก็ใช้ชีวิตในการทำงาน คือตอนนั้นก็รู้สึกว่า บวชไปก็ทำอะไรไม่ได้เยอะ เคยบวชอยู่สามเดือน มันมีกฎเยอะ สัมพันธ์กับมนุษย์ยาก แต่พอกลับมาทำงานตอนนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ ก็มองคนอื่นต่ำกว่า มันมีการพิพากษาตลอด คนอื่นดีสู้เราไม่ได้ แล้วถามว่าชีวิตแบบนี้มันจะมีความสุขรึเปล่า มันก็ก้ำกึ่งนะว่าเราจะอยู่ทางโลกได้รึเปล่า ที่ทำงานเค้าก็จะให้ไปสอบเลื่อนขั้น เราก็ไม่เอา อยู่อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว เค้าก็ด่าว่าโง่ หัวก็ดี ไม่หาความก้าวหน้า เค้าก็จะมองเราเป็นหลวงพ่อ ก็เข้ากับเค้าไม่ได้เท่าไหร่ เราก็อยู่ไป แต่ก็ยังมีความโกรธ มีอารมณ์อยู่เยอะ

เรือรบ : แล้วหันมาเรียนมวยจีนได้อย่างไรครับ?
อ.ฌาณเดช : ช่วงอยู่แบงค์ก็เริ่มอ่อนแอ การฝึกกรรมฐานอย่างหนักที่ผ่านมา เราอดอาหาร ตอนนั้นที่ออกจากถ้ำเราก็เริ่มเป็นโรคโลหิตจางแล้ว เริ่มเป็นโรคหืดหอบ ถึงกับนอนหงายไม่ได้ หายใจไม่ออก ต้องนอนคว่ำ ก็เป็นอาจารย์กรรมฐาน แต่ก็ป่วย เราเอาแต่จิตวิญญาณ ไม่เคยดูแลฐานกาย ไปไม่รอด ตอนนั้นผอม หน้าขาว ผมสั้น ไปดูรูปเก่าๆดูได้ นั่งสมาธิก็โลกหมุนจนสลบไป จนต้องมีคนพาไปส่งโรงพยาบาล หมอให้ยามากินก็ไม่หาย ตอนนั้นก็พอดีแต่งงานด้วย แต่มีลูกไม่ได้ อ่อนแอ อยู่มาวันหนึ่งไปเดินอยู่แถวสวนลุมพินี เจ๊คนนึงชื่อเจ๊น้อย แกก็รำมวยไทเก็กอยู่ เห็นเราเดินมา ก็ทัก เฮ้ นี่ลื้อป่วยนี่ ร่างกายไม่ดีเลย มาฝึกมวยสิ เดี๋ยวหาย เราก็สนใจ จริงๆสนใจมาก่อนแล้วแต่หาครูไม่ได้

ก็ได้รู้จักอาจารย์หล่อ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แซ่ตั้งที่เอาไทเก็กมาสู่เมืองไทยคนแรก แกก็สนใจเรา สอนเรามากเป็นพิเศษ ดูแลเราเป็นอย่างดี เราก็มีทักษะที่ดี สามเดือนก็รำได้ ร่างกายดีขึ้น ไปเช็ค โรคที่มีหายไปหมด แปลกมาก ร่างกายก็ดีขึ้นมาก พอแข็งแรงขึ้น เราก็อยากมีกล้าม ไปเล่น ฟิตเนส ไปเจออาจารย์แมน ซึ่งเป็นแชมป์อันดับสองของเมืองไทยตอนนั้น ช่วงนั้นก็มาช่วยเทรนเรา สอนเราให้เข้าใจเคล็ดลับ วิธีการเล่นต่างๆ ช่วยเซฟตอนเล่น เล่นอยู่สองปี เริ่มเปลี่ยน คนที่แบงค์ก็เริ่มสงสัย เสื้อเริ่มคับ แน่นไปหมด ปีที่สามก็เริ่มเน้นส่วน แล้วก็ลงแข่ง ก็ได้อันดับ 8 เมืองไทย ตอนนั้นก็อายุราว 27 ปี ก็กะว่าปีหน้าจะเอาหนึ่งในสามเลย ปรากฏว่าเริ่มเป็นหวัด เป็นไม่หาย เราก็มานั่งคิด เฮ้ย ถ้ามันแข็งแรงจริงทำไมเป็นหวัด ไม่ใช่แน่ๆ ไม่เอาดีกว่า เลยกลับมาเรียนมวยจีนต่อ

เรือรบ : หลังจากนั้นอาจารย์ก็เลยหันกลับมาเรียนมวยจีนอย่างจริงจัง?
อ.ฌาณเดช : โชคดีมากไปเจออาจารย์ท่านหนึ่งมาจากเมืองจีน เพิ่งมาเลย เดินสะเปสะปะผ่านมาที่สวนลุม เห็นเรารำมวยก็หยุดดู แล้วก็พูด ปู๋ตุ้ย ๆ เราก็ไม่รู้ภาษาจีน แปลว่าทำไม่ถูก แกก็รำให้ดู สวยมาก นุ่มมากๆ เราก็แกล้งไปปะลองด้วยมวยไทย แกก็ปล่อยหมัดเดียว เรากระเด็นตูดไถพื้นเลย เราก็เฮ้ย แกมีของนี่หว่า ชวนแกขึ้นรถกลับบ้านเลย ช่วงนั้นผมทำธุรกิจเปิดร้านอาหาร พาแกมาก็พูดกับแกไม่ได้ พอดีพ่อของคุณแอ๋วเป็นคนจีน ก็ช่วยคุยให้ อาจารย์แกก็เพิ่งมา จะมาสอนมวยนั่นแหละ ยังไม่รู้จักใครเลย ก็พาแกไปหาห้องเช่า แถวสี่พระยา ใกล้ๆบ้านผม แล้วแกก็มาสอนมวยบ้านผม แล้วก็กลับไปจีน

ตอนนั้นผมก็เริ่มเป็นแล้วก็เลยสอนมวยจีนบ้าง ก็ไปรำเฉยๆนี่แหละแล้วก็มีคนมาขอให้สอน เริ่มจาก5คน แล้วก็เพิ่มขึ้นเกือบ 20 คน เป็นปึกแผ่นเลย เป็นชมรมขึ้นมา ช่วงนั้นก็ยังอยู่แบงค์ สอนมวยเสร็จก็ไปทำงาน ผมก็ฝึกฝนตัวเองเรื่อยมา ตอนนั้นทุกปีจะมีงานชมรมไทเก็กแห่งประเทศไทย ผมก็เข้าไปช่วยงาน มีการแสดง ผมก็ไปโชว์ศิลปะการต่อสู้แบบไทเก็กเป็นครั้งแรก คนก็เลยฮือฮาสนใจมาก เราก็เป็นที่รู้จัก ก็มีประธานสมาคม เห็นผมเป็นคนหนุ่มก็อยากให้ผมสานต่องานนี้ แต่ก็มีผู้ใหญ่บางคนรู้สึกว่าผมเกินหน้าเกินตา เราก็ไม่สนใจ ไปงานแสดงนี้เรื่อยๆ

ในปีที่สาม มีอาจารย์เฉินผู้ซึ่งมีกำลังภายในมากๆ มาจากจีนไปอยู่สิงคโปร์ได้รับเชิญมา แกก็มาเห็นเราแสดง แล้วก็ชอบ ให้คนมาตามเราหลังจากลงเวที ตอนนั้นเราเริ่มไปเรียนภาษาจีนมาบ้างแล้ว ก็คุยกันได้ เราก็ขอเรียนด้วยทันที ไปหาแกถึงบ้าน พาแกไปกินข้าว ตื๊ออยู่ จนแกแพลมออกมาบ้าง แกก็ยังไม่ยอมเป็นอาจารย์ซะที เราก็บริการแกอย่างดีให้แกมาอยู่บ้าน3 เดือน ก่อนแกกลับแกก็ถามผมว่า ทำไมอยากเรียนนัก ผมก็บอกว่ามันคือชีวิตของผม วิชานี้สามารถช่วยคนได้เยอะต่อไปภายภาคหน้า แกก็ตบโต๊ะ บอกให้ผมยกน้ำชา รับเป็นลูกศิษย์ แกก็บอกว่าจะกลับไปสิงคโปร์ ปีหน้าค่อยมาเจอกัน ก่อนไปก็สอนให้ผมฝึกยืนจั้นจวง ยืนม้านั่ง ยืนให้นิ่ง ดูท่าเราให้ถูกต้อง จนเราทำได้ แกก็กลับไป ฝากให้เราฝึกครั้งละ 2 ชั่วโมงทุกวัน ตอนนั้นเราก็บ้าๆ เราก็ฝึกทุกวัน เช้าเย็น ทำเป็นประจำ จนครบปี แกก็ยังไม่มา จนล่วงเลยไปอีก 4เดือน เราก็ท้อ ฝึกไปทำไม ท่ามวยก็ไม่ได้ ให้ยืนอย่างเดียว แต่ก็ทำไป

พอแกกลับมาแกก็พาเพื่อนมาด้วย เพื่อนแกเป็นมวยจีนฝึกมาอย่างดี แกก็ถามว่าเรายืนจั้นจวงรึเปล่า ลองทำให้ดูซิ เราก็ทำ แกก็พยักหน้าว่าทำถูก แกก็ให้ลองสู้กันดูสนุกๆ เราก็ตกใจว่าไม่ได้เรียนเลย จะไปสู้อะไรได้ ก็ยืนปักหลัก พอคู่ต่อสู้เข้ามา เราก็ยืนนิ่งๆตามที่ฝึกมา ปรากฏพอมาชนเรามันกระเด็นออกไปเลย เป็นอย่างนี้สองครั้ง อาจารย์ก็หัวเราะ เราถึงพึ่งเข้าใจ พื้นฐานที่อาจารย์ให้เราไว้ แต่เราไม่เคยรู้ ต่อจากวันนั้นก็เลยเริ่มสอนมวยกันอย่างจริงจัง แต่ละท่ามีความหมายยังไง ใช้ยังไง สอนเดินพลัง ฝึกกำลังภายใน ทั้งก่อนนอน ตอนเช้า เราก็ได้เรียน ได้ฝึกทุกท่า เบสิคแน่นเลย ทั้งกายฝึกหายใจ การเก็บพลัง พอเราเริ่มเป็น แกก็เริ่มสอน กายวิภาค สอนเรื่องกระดูก ไปเอารูปมา สอนทุกส่วน เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ทุกๆวัน จนครบทั้งตัว อธิบายเรื่องเส้นเมอริเดียน เส้นโลหิตแดง ดำ เรื่องอวัยวะ ไต ตับ หัวใจ ม้าม ปอด อธิบายเป็นสูตรไฟฟ้า E=IRกระแสไฟฟ้าคือชี่นั่นเอง คือพลังภายใน ตัวต้านทานน้อยทำให้กระแสไหลดี นี่เป็นเหตุให้เราต้องผ่อนคลายให้มาก อันนี้ทำให้เรามองเห็นภาพทางด้านกายได้ทั้งหมด

เรื่องใจก็อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องประสานกัน ถ้าไม่สมดุลกัน แรงก็ไม่เกิด สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราใช้พลังได้ ถ้าเราหนัก 50 กิโล เราก็จะถ่ายพลังออกมาได้ 50 กิโล แล้วถ้าคู่ต่อสู้โถมพลังเข้ามาอีก 50 กิโล เราก็จะรับไว้แล้วสะท้อนไปได้ 100 กิโล สิ่งนี้มีวิธีฝึก ถ้าใจประสานกับกาย เราก็จะทำได้ มันเป็นเคล็ดทางกลศาสตร์ที่เราต้องเรียน พลังภายในไม่ใช่เรื่องพิสดาร มวยจีนที่สำคัญคือ ราก หรือพื้นดิน แรงของเราทั้งหมดลงพื้นแล้วเราก็ใช้แรงสะท้อนตรงนั้นได้ ถ้าเราเรียนมวยจีนแค่ท่าทางไม่ได้เรียนกับอาจารย์ในเรื่องเหล่านี้ เราก็แทบจะไม่ได้อะไรเลย ไม่ถึงแก่นที่แท้จริง

เรือรบ : แล้วเรียนมวยจีนอยู่กี่ปีครับ?
อ.ฌาณเดช : ก็เรียนอยู่ 8 ปี ทำงานแบงค์ไปด้วย พอกลับมาจากทำงานอาจารย์แกก็สอนให้ แกก็ไปๆมาๆเป็นช่วงๆ นอกจากนั้นแกก็สอนเรื่องมหายานแล้วก็เต๋าให้ผม ซึ่งเราก็มาจากสายเถรวาท เราก็เถียงกับแกน่าดูในช่วงแรก นิพพานต้องอย่างนี้เท่านั้น แกก็ค่อยๆบอกเรา เชื่อมโยงให้เราเห็น เราก็เริ่มเปิดใจมากขึ้น เราก็จะเริ่มเห็นว่า ลึกๆแล้วทุกสิ่งเชื่อมโยงกัน ทังเราและผู้อื่น มีการภาวนาด้วยการสวดมนต์ ทำให้เรามีเมตตา ดูแลผู้อื่นด้วย ไม่ใช่ไปเพียงคนเดียว เห็นสรรพสัตว์ทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียว เราก็จะเข้าในวิถีของโพธิสัตว์และพระพุทธเจ้า นักปฏิบัติสายนี้เวลาที่เค้าเข้าสมาธิ เค้าจะดูแลร่างกาย ไม่ทิ้งร่างกาย พิถีพิถันในการดูแลร่างกายมาก ไม่เหมือนเถรวาทที่เห็นร่างกายเป็นสิ่งบูดเน่าไม่น่ายินดี นอกจากนั้นในพุทธศาสนา ก็จะมี วชิรยาน ซึ่งจะมาทีหลัง เป็นการรวมจุดเด่นระหว่างเถรวาทกับมหายานเข้าด้วยกัน เป็นวิถีที่คมกล้า ปัญญาที่แก่กล้า ดั่งสายฟ้า หรือวชิระนั่นเอง มีความมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงที่สุดแล้วก็มีความเมตตา เหมือนเป็นวิทยาศาสตร์ใหม่

เรือรบ : แล้ว ไท้ฉีฉวนนี่เราเรียนเพื่อดูแลฐานกาย เพื่อเตรียมพร้อมไปฝึกด้านใจต่อใช่ไหมครับ?
อ.ฌาณเดช : ไท้ฉีฉวนเองก็นำไปสู่การมีจิตตื่นรู้และการบรรลุธรรมได้ด้วยเช่นเดียวกัน เค้าจะมี จิง ชี่ เสิน สำหรับจิงคือฮอร์โมนในร่างกาย นี่เป็นทางกายภาพ ผึกจิงให้เป็นชี่ หรือเป็นพลังชีวิต แล้วฝึกชี่ให้เป็นเสิน นั่นคือเป็นคลื่นสมองที่เป็นจิตตื่นรู้ ก็จะเข้าสู่ความว่างได้ รับรู้ได้ทั้งหมดแล้วมันก็ปล่อยวางได้ เหลือแต่ความว่างเปล่า นั่นก็คือที่สุด จะเรียกว่าเป็นนิพพาน หรืออะไรก็ได้ ดูเหมือนทุกสิ่งก็เป็นเส้นทาง ที่มีวิถีของมันที่นำไปได้เช่นเดียวกัน มันทะลุถึงกันหมด แค่เราฝึกและบ่มเพาะมันไปเรื่อยๆ สำหรับผมก็เลยฝึกอยู่ตรงนี้แล้วก็จะมีวิถีทางให้ไปต่อได้เองในภายหน้า…

เรือรบ : ครับ ผมขอขอบคุณอาจารย์มากที่ให้เกียรติเล่าประวัติส่วนตัวอย่างละเอียด ซึ่งแม้เป็นเรื่องที่ยากที่คนทั่วไปและคนรุ่นใหม่จะเข้าใจและเข้าถึง แต่ผมเชื่อว่าสิ่งนี้ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่สนใจอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในทางสุขภาพร่างกาย และด้านจิตใจ ก็ขอน้อมคารวะและกราบขอบคุณอาจารย์ ฌานเดช พ่วงจีน ไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่งครับ

เอาล่ะครับ ก็จบไปแล้วสำหรับบทสัมภาษณ์จอมขมังเวทย์แห่งล้านนา จะเห็นได้ว่าการพูดคุยกับอาจารย์ในครั้งนี้มีความสมบูรณ์และงดงามอยู่ในตัวแล้ว ผมคงมิอาจสรุปอะไรได้อีก ผมคิดว่าการที่พวกเราได้ทราบประวัติอันลึกล้ำและมีคุณค่าของอาจารย์ในครั้งนี้ ทำให้เราได้รู้จักและใกล้ชิดอาจารย์มากขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ได้มองเห็นว่าไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ เราคงต้องมีความอดทนและมีวินัยในการฝึกฝน มีความตั้งใจมั่นและเจตจำนงที่แน่วแน่ไม่สั่นคลอน จนกว่าจะสำเร็จถึงเป้าหมายของเรา ซึ่งเป็นคุณธรรมที่เด่นชัดมากในตัวของอาจารย์ และก็เป็นตัวอย่างที่ให้เราได้มีแรงบันดาลใจไม่ท้อถอยต่อการฝึกฝนไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆของแต่ละคนต่อไปในอนาคต นอกจากนั้นพวกเราก็ได้มีโอกาสสัมผัสรับฟังประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่หาได้ยาก และอาจหาไม่ได้อีกแล้วในปัจจุบัน ซึ่งเรือรบก็แน่ใจว่า บรรดากระบวนกรท่านอื่นในชุมชนขวัญเมือง ยังมีทีเด็ดเช่นนี้ให้พวกเราไปตามสืบค้น ก็อาจจะได้พบเรื่องราวพิสดารชวนพิศวงในเวอร์ชั่นที่ต่างกัน ท่าทางน่าสนุกใช่ไหมครับ ก็จะได้มีการสัมภาษณ์ทุกท่านอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้ คอยอดใจติดตามกันต่อไปในโอกาสหน้านะครับ สวัสดีครับ

ข้อมูลจาก วงน้ำชา.คอม

Share

ชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งกายและใจ

ดองไปซะนาน แหะๆ เหม็นไปทั่ว blog เลย วันนี้เลยเอาเรื่องไทเก๊กมาฝาก

เมื่อวัน 15-17 ยอมโดดงานแต่งงานเจ้านาย ไปเข้าคอร์สอบรมไทเก๊กกับธาตุทั้ง 5 มา
พูดง่ายๆ ก็คือไปเรียนกำลังภายใน นั่นเอง รู้สึกว่าได้อะไรเยอะมากๆ และะรู้สึกคิดถึงพี่เชนอย่างสุดซึ้ง

อาจารย์ที่สอนคือ อาจารย์ฌานเดช พ่วงจีน เป็นหนึ่งในกระบวนกรของมูลนิธิสังคมวิวัฒน์ (Foundation for an Evolving Society) หรือเว็บ วงน้ำชา.คอม นั่นเอง

ขอเกริ่นนิดๆว่า รูปแบบการสอนของมูลนิธินี้จะเป็นรูปแบบที่เรียกว่า สุนทรียสนทนา (Dialogue) ทุกคนจะนั่งสบายๆ อยากนอนก็นอน นั่งก็นั่ง แล้วฟังอาจารย์สอน จากนั้น จะล้อมวง ซักถาม เสนอความคิดเห็น กัน ในระหว่างที่ใครพูด ทุกคนจะเงียบฟัง และอาจารย์จะให้คำตอบปิดท้ายในทีเดียว และในระหว่างการฟัง จะต้องแขวนความคิดของตนเองไว้ก่อน เพื่อให้ข้อมูลของคนอื่นไหลเข้ามา และคิดประมวลผลตอนจบในทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่ใช้ได้เลยทีเดียว (เป็นหนึ่งในวิธีที่อาารย์ฌานเดชเอาไปสอนพวก ดร. ในกลุ่มของเครือซีเมนต์ไทย) และอีกอย่างที่มูลนิธินี้ได้ทำคือ โครงการ HomeSchool ที่เป็นวิธีการเลี้ยงลูกแบบอยู่กับบ้าน โดยเราสร้างแรงบรรดาลใจเพื่อให้เด็กเกิดความอยากเรียนรู้และตอบสนองในใจที่เ ขาต้องการ ซึ่งลูกของอาจารย์และลูกศิษย์ของท่านแต่ละคน ล้วนประสบความสำเร็จ จนผมทึ่งไปเลย
การเข้าไปฝึกครั้งนี้ เหมือนทำให้ผมรู้สึกว่าเข้าไปเรียนวิชาหมอจีนยังไงก็ไม่รู้ เพราะทั้งหมดผมเคยอ่านเจอในหนังสือแพทย์แผนจีนมาบ้าง แต่พอมาฝึก ก็ทำให้กระจ่างแจ้งในที่มาเลยทีเดียว นี่แหละเหตุผลที่ทำให้คิดถึงพี่เซน (ฮ่าๆ เชนที่รักขาาาา คิดถึงจังเลย) แต่ก็พอโชคดีบ้างที่มีลูกศิษย์อาจารย์เรียนแพทย์แผนธิเบตมาสอนร่วมด้วย อายุน้อยกว่าผมซะอีก ก็เลยพอจะซักถามอะไรบางส่วนได้บ้าง (ไม่ต้องรอมาถามที่รักเชน ฮ่าๆ) ถามว่าได้อะไรไหมมันได้นะ แต่ถ้าจะให้เล่า ก็ไม่รู้จะเล่าอะไร มันก็แปลกๆ เหมือนกัน เอาเป็นว่า ดูรูปที่ผมถ่ายมาละกัน

อันนี้สอนพื้นฐานของการฝึกว่า มันเริ่มจากสิ่งสูงสุดคือ ไท่ชิ หรือ ไท่จี๋ หรือ มวยไทจี๋ (ไทเก๊ก)
ซึ่งมวยก็จะแยกเป็น 2 ส่วนคือ หยิน (ฝึกภายใน) และ หยาง (ฝึกภายนอก)  ซึ่งในหยางก็มีหยิน ในหยินก็มีหยาง ลึกลงไปเรื่อยๆ อีกที
การฝึกภายในก็เป็นเรื่องของการฝึกกำลังภายใน การบ่มเพาะพลัง การเก็บพลัง การปล่อยพลัง การทำสมาธิ การหายใจทั้งหลายแหล่

ก ารฝึกภายนอกก็เป็นเรื่องของท่าทางที่ใช้  มีท่ารุกและรับ แยกเป็น 8 ท่า รวมท่าก้าวเท้าอีก 5 เป็น 13 ท่าพื้นฐานของไทเก๊กที่รำกันอยู่ทุกวัน ล้วนผลสมมาจาก เผิง หลีว์ จี่ อั้น ไฉ่ เลียะ โจ่ว โค่ว ทั้งนั้น

(ชักเริ่ม งง เว้ย)

และอาจารย์ก็ได้พูดเรื่องหนึ่งคือ เรื่องของนาฬิกาชีวิต ที่ว่า เวลาไหน อวัยวะไหนทำงาน ชี่เดินทางไปไหน
เราควรดูแลอย่างไร ควรป้องกันและบำรุงมันได้อย่างไร ตรงนี้เอาไปใช้รักษาร่่างกายได้อย่างดีเลย

แต่นอกจากชี่จะเดินทางผ่านอวัยวะแล้วก็ยังมีจุดต่างๆ ที่ต้องรู้ด้วย และจุดเลห่านี้ก็สำคัญในการทำสมาธิ
บ่มเพาะ และเดินพลังเพื่อมาใช้งาน


รูปนี้คือสถานที่ฝึกและประลองยุทธ ฮ่าๆๆ (สถานปฏิบัติธรรม ธาราศัย ซอยสันติธรรม นครสวรรค์)

เรื่องมวยเป็นเรื่องที่อยากได้อยู่แล้ว แต่เรื่องที่เป็นของแถมติดตัวมา มีค่ามากกว่ามวยที่ผมเรียนเสียอีก
นั่นคือ การนำหลักการของมวย ความสมดุล ของหยินหยาง  ความเป็น เต๋า เข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน
เพื่อให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งกายและใจ ไม่ว่าจะเกิดกับตัวเองและคนรอบข้างของเราทั้งหลาย

ต้องรู้จักวาระของเรา วาระของเขา ว่าทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตนเอง แล้วจะทำให้เราเข้าใจในสิ่งที่เขาคิด
เขาทำ เข้าใยความเป็นเราเป็นเขา แล้วจะทำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกับคนทั้งโลกและจักรวาลได้อย่างน่าทึ่ง

ม ันเป็นการตอบคำถามในสิ่งที่ผมคิดมานานได้เหมือกนันว่า ชีวิตเราจะอยู่ในทางโลก แต่ก็อยู่ในทางธรรมได้สมดุลได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะเป็นคำตอบที่ไม่กระจ่าง แต่ผมก็เชื่อว่า หากเริ่มทดลองทำตามที่รู้มา ไม่ว่าจะผ่านทางปรัชญาของมวย หรือ ปรัชญาของเต๋า หยินหยาง คิดว่าคงน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

อาจารย์สอนไว้ว่า เมื่อมีอี้(ความคิด,จินตนาการ) ก็จะทำให้เกิดชี่(พลังชีวิต) เมื่อชี่และอี้พร้อม เสิน(ปัญญา)ก็จะมา

ห มายความว่า เมื่อเราคิดสิ่งใดก็มุ่งมั่นที่จะทำ ที่สำคัญจะต้องเชื่อว่ามันมีจริงและทำได้จริง มันจะทำให้เกิดพลังสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดกับเราหรือเกิดกับสิ่งรอบตัวเรา ดังนั้น เมื่อกายพร้อมและใจพร้อม ปัญญาที่เอาไว้ให้เราหลุดพ้นจากปัญหามันจะเกิดขึ้น

เอวัง ด้วยประการฉะนี้..

Share

อดีตเปลี่ยนแปลงได้

“คุณรู้หรือเปล่า.. อดีตเปลี่ยนแปลงได้”

เป็นคำถามที่ อาจารย์สอนไทเก๊ก ท่านหนึ่ง ถามผม ระหว่างที่เรากำลังจะกลับบ้าน
ผมฟังท่านพูดเสร็จ ก็ได้แต่พยักหน้า และพูดว่า “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”

ท่านก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ยกตัวอย่างต่อไปให้ผมฟังง่ายๆ ว่า

ถ้าคุณอยู่ในที่มืดแล้ว จู่ๆ เดินเหยียบตัวอะไรยาวๆ นุ่มๆ เป็นเส้น แล้วคุณตกใจสุดขีดว่าเป็นงู
แต่พอมีแสงไฟมาส่องปุ๊บ คุณเห็นว่านั่นเป็นแค่ เชือกเส้นหนึ่ง เท่านั้น คุณรู้สึกโล่งอกทันที

แค่นี้อดีตคุณก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว

เพราะอดีตของคุณ มันคือ งู ที่ทำให้คุณตกใจ แต่ตอนนี้มันกลายเป็น เชือก ที่ทำให้คุณสบายใจ

และท่านก็บอกว่า สิ่งที่ทำให้คนเราเป็นทุกข์ ก็คือความคิดของเรานี่เอง
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอดีตก็ตรงกับแนวคิดของธรรมะ ที่ผมเคยรู้นั่นเอง เลยทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

ท่านเล่าว่า มีคนหนึ่งเคยเกลียดพ่อมากๆ เพราะพ่อไม่เคยทำดีกับแม่เลย
จนวันหนึ่งพ่อของท่านเสียไปจึงหวนกลับมารำลึกได้ว่า สิ่งที่ท่านเคยคิด มันไม่ถูกต้อง
ตั้งแต่นั้นมา จากอดีตที่เคยเห็นพ่อว่าเป็นคนบ้า ก็เห็นว่าเป็นพ่อ ที่เป็นพ่อจริงๆ
และคนที่คิดก็เป็นมะเร็งอยู่แล้วเนื่องจากคิดมาก แต่พอเปลี่ยนอดีต มะเร็งท่านก็ลดลง
เพราะมีจิตใจที่ดีขึ้น

มาถึงตรงนี้ ทำให้เรารู้ว่า การเปลี่ยนอดีต นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่อยู่ที่ใครทำใจได้ ใครยอมรับได้ ใครปล่อยวางได้
ที่จะเปลี่ยนความคิด เพื่อให้อดีตเปลี่ยนคุณในปัจจุบันและอนาคต

ผมเชื่อว่า เรื่องดีๆ คุณก็คงอยากให้เป็นอดีตที่แสนงดงาม
แต่เรื่องไม่ดี เก็บไว้ ก็เหมือนเก็บขี้…. หรือคุณจะนั่งดมมันไปตลอดชีวิต ก็เรื่องของคุณ

Share