Category Archives: บันทึกของชีวิต

วิกรม กรมดิษฐ์

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ ผมมักพูดกับเพื่อนสนิทและคนที่ผมรัก ไว้ว่า เมื่อชีวิตผมประสบความสำเร็จ และหากมีครอบครัว ครอบครัวผมสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้อย่างไม่ลำบาก ผมก็จะจบชีวิตตัวเองเพื่อค้นหาทางสงบ เช่น อยู่ป่าหรือบวชไปเลย

สำหรับเพื่อนที่ฟัง ก็ไม่มีอะไร นอกจากแสดงทัศนะกันไป สำหรับคนที่รัก ก็จะถามถึงความรู้สึกของคนข้างกายว่าเขาจะคิดอย่างไร

แต่ผมจะบอกคนที่ผมรักต่อไปว่า ทางสงบของผมไม่ได้หมายถึง ทิ้งให้คนรักต้องอยู่เพียงคนเดียว หรือ ทิ้งครอบครัวให้เผชิญชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยว อย่างที่คิด ผมก็ยังใช้ชีวิตปกติ เพียงแต่มันคงเป็นช่วงที่ผมควรจะทำอะไรเพื่อตนเอง เพื่อสังคม และพร้อมจะตายอย่างมีความสุข

เมื่อต้นปี ในร้าน 7-11 ผมเห็น DVD เรื่องหนึ่งชื่อ “ผมจะเป็นคนดี” โดย วิกรม กรมดิษฐ์ ผมไม่รู้จักเขา และสงสัยว่าคืออะไร และหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ผมได้ยินชื่อ วิกรม กรมดิษฐ์ อีกครั้ง ว่าเขาเป็นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ใช้ชีวิตอยู่ในป่าที่เขาใหญ่ แต่สามารถจัดการชีวิตได้อย่างดี

หลังจากที่ได้รู้ มันทำให้ผมรู้สึกนึกถึงความคิดของผม ภาพในอนาคตที่ผมเคยวาดไว้ วิกรม กรมดิษฐ์ ทำได้แล้วจริงๆ และ วิกรม กรมดิษฐ์ ก็ทำให้ภาพนั้นของผมชัดเจนขึ้นอย่างมาก แต่ผมก็หยุดความรู้ตัวเองไว้แค่นั้น

จนเมื่อ 2 วันก่อนผมนึกถึงชื่อ วิกรม กรมดิษฐ์ ในขณะอยู่ที่หน้า Google พอดี จึงได้มีโอกาสทำการค้นหาข้อมูเกี่ยวกับบุคคลท่านนี้

วิกรม กรมดิษฐ์ Think Tank ที่ไม่ทำงาน?
“ผมสร้างอมตะมาแล้วเกือบ 20 ปี ก็พอแล้วสำหรับผม ตอนนี้สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องมาแยกให้เป็นรูปองค์กรที่ไม่ผูกติดกับตัวบุคคล ถ้าคนคิดว่า อมตะคือวิกรม วิกรมคืออมตะ บริษัทอย่างนี้ก็เตรียมตัวตาย ฉะนั้นสิ่งที่ผมต้องการก็คือ อมตะต้องเป็นอมตะ ต้องไม่ผูกติดกับบุคคล ทุกคนต้องร่วมกันสร้างระบบและระเบียบ คนมาใหม่ก็ต้องทำตามระบบและระเบียบนั้น นี่ต่างหากคือ Art of Management แบบมืออาชีพจริงๆ”

I’m a Dreamer!!
“ผมเป็นคนชอบหลอกตัวเองด้วยการสร้างความรู้สึกในแง่ดีบ่อยๆ กระทำจนเป็นนิสัยในการล่อหลอกตัวเองให้ทำในสิ่งที่ “ฝัน” ไว้ เพราะความฝันคือเข็มทิศ เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต เป็นน้ำหล่อเลี้ยงมนุษย์ และที่สำคัญ ความฝันไม่เสียสตางค์”

Great Image Creator
“มีผู้บริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ไหนบ้างในประเทศไทยที่จะมาเขียนเล่าว่าเคยจะเอาปืนไปยิงพ่อตัวเอง ไม่มีหรอก พอหนังสือออกมาหุ้นร่วงเลย เห็นผลทันตา (หัวเราะ) เพราะอะไร อย่างเหรียญมี 2 ด้าน คนไทยชอบเอาด้านหัวออก หมกด้านก้อยไว้ที่บ้าน แต่ผมนี่เปิดหมดทั้ง 2 ด้าน”

Profit Organization
“ทุกอย่างมันสร้างมาจากเงินส่วนตัวผม พอไปถึงจุดหนึ่ง ทุกอย่างต้องสานต่อให้มันไปด้วยตัวมันเองเหมือนบริษัทผม ต่อไปมูลนิธิฯ ก็ต้องเปลี่ยนเป็น NGO นี่คือคอนเซ็ปต์ที่ผมจะต้องสร้าง เพราะคนเราอยู่ไม่นาน แต่พอตายไป ความเป็นองค์กรต่างหากที่ต้องทำให้อยู่เป็น “อมตะ”

Simple Life
“มีคนมองว่าผมไม่ปกติ แต่ผมว่าผมเป็นคนปกติ เพราะกำเนิดของมนุษย์คือธรรมชาติ ผมกำลัง back to the nature แต่คนที่มองผมไม่ปกติเพราะเขาถูกสิ่งแวดล้อมที่เป็นป่าคอนกรีต ถูกสังคมพาไป จึงไม่คุ้นเคยกับธรรมชาติ ไม่คุ้นเคยกับชีวิต simple ที่ไม่ต้องแอบแฝง ไม่ต้องตีไข่ใส่สีอย่างนี้”

ผมกลัวว่าผมจะมอง คุณ วิกรม กรมดิษฐ์ เพียงด้านเดียววันนี้เลยไปหาหนังสือที่เขาเขียนมาสามเล่ม “ผมจะเป็นคนดี”, “มองโลกแบบวิกรม” และ “CEO มองซีอีโอโลก”

ถึงแม้ว่าการที่เขาออกตัวแบบนี้จนทำให้ใครหลายคนดูเหมือนว่าเขาจัดฉากและ เสแสร้ง แต่ผมก็คงไม่อยากให้ไปมองในเรื่องนั้น แต่อยากให้ลองมองในแนวคิดของเขาดู

สุดท้าย เขาก็เป็นภาพหนึ่งในอนาคตที่ผมอยากเป็น

Share

อดีต/ปัจจุบัน/อนาคต

คนเราก็แปลก อดีตล่วงเลย แก้ไขไม่ได้ มักคิดถึงย้อนลำลึกเสมอ อนาคตยังไม่ถึง ก็ชอบคาดหวังไว้เกินไป

สุดท้ายนั่งจมกับความสุขความผิดหวังในอดีต และผิดหวังกับอนาคตที่ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เสมอ

ผมโดนทักเป็นประจำว่าเป็นคนคิดมาก ซึ่งเมื่อก่อน ก็จะเถียงๆ กับคนที่พูดหรือแม้แต่ตนเองว่า ที่คิด เพราะต้องการเห็นหลายมุมมอง จะได้วางแผนล่วงหน้าทันท่วงที เป็นเช่นนี้ประจำ

จนมาตอนหลัง รู้สึกว่า สิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความทุกข์(อันแสนนาน)และความสุข(ชั่ววูบ) นั่นคือ อดีต กับอนาคต นั่นเอง

พระพุทธเจ้าและผู้รู้หลายท่าน มักสอนเสมอๆ ให้เราอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

ตอนแรกไม่เข้าใจหรอกว่า อยู่กับปัจจุบันคืออะไร? ทำปัจจุบันให้ดีแล้วจะได้อะไร? สู้มองการใกลเพื่อวางแผนแล้วทำให้ดีไม่ดีกว่าหรอ?

หลังจากเจอเหตุการณ์ต่างๆ นานา ทำให้ได้ครุ่นคิด ได้อยู่คนเดียว บังเกิดปัญญาขึ้นมาเล็กน้อยว่า

การที่เราอยู่กับปัจจุบัน มันจะทำให้เราตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทุ่มเทกำลังสติปัญญา แรงกาย แรงใจ ทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ ณ เวลานั้น จนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

เมื่อทำปัจจุบันดีแล้ว ต่อไป ปัจจุบันที่ดี มันก็จะกลายไปเป็นอดีตที่ดี ไม่ต้องมาหวนรำลึกว่า ทำไมไม่ทำให้ดีตั้งแต่แรก ทำไมไม่คิดตั้งแต่แรก สุดท้ายก็มานั่งทุกข์ ทน รันทด โง่ จน เจ็บ เสียใจกับการกระทำในอดีตให้ปวดหัวเป็นทุกข์ตามมาอีกนานแสนนาน

แล้วถามตัวเองต่อไปว่า อนาคตล่ะ ไม่ต้องมาวางแผนกันเลยหรือ?

ก็ขอตอบตัวเองอีกเช่นกันว่า ก็ต้องวางสิ! แต่อย่ายึดติดกับมันสิ! ว่ามันจะต้องเป็นจริง

เพราะทุกสถานการณ์ล้วนเกิดจาก การกระทำของตัวเรา (กรรมที่ก่อขึ้นในชาตินี้) และสิ่งที่มากระทบจากนอกตัวเรา (กรรมที่ก่อขึ้นในชาติที่แล้ว) ทั้งอดีตและปัจจุบัน มาเป็นตัวแปรผันเสมอ

ถึงแม้จะมั่นใจว่าทำดีมาตลอด สามมารถควบคุมการกระทำตนเองได้ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งกระทบจากภายนอกได้ว่ามันจะมารูปแบบไหน

เป็นเช่นนี้แล้ว คาดการณ์ไปก็มีโอกาสผิดพลาดสูง

แม้โบรกเกอร์ให้เก่งแค่ไหน ก็วิเคราะห์หุ้นผิดมันแทบทุกนาที…

แม้คนทำเว็บเก่งแค่ไหน ก็วิเคราะห์ปริมาณคนเข้าเว็บผิดมันแทบทุกชั่วโมง

แม้พยากรณ์อากาศด้วยเทคโนโลยีใหม่แค่ไหน ก็พยากรณ์ผิดมันแทบทุกวัน

นับประสาอะไรกับปุถุชนสิ้นสติ ไร้ปัญญา ที่เดินดินกินข้าวจานแกงไปวันๆ

“ความไม่แน่นอนคือความแน่นอนอย่างที่สุด ตั้งแต่ควอนตัม ยัน จักรวาล”

วันนี้สอนตัวเองแค่นี้
หยุดความฟุ้งซ่านในตน
เลยแบ่งให้ทุกท่านที่อ่านได้หยุดด้วยกัน

เอวัง ขอจบการบ่นด้วยประการฉะนี้

Share

19.20.2550

ชายผู้มิใช่ปุถุชนเคยบอกผมว่า

ถ้าเรารักที่จะให้ก็พบแต่ความสุข หากเมื่อไรเรารักที่จะเอามักพบแต่ความทุกข์

เพราะสิ่งที่คาดหวังไว้ว่าจะได้ ไม่เป็นดั่งที่หวังเสมอไป แ่ต่สิ่งที่ให้ สามารถกำหนดได้ด้วยตัวเราเอง

Share