เมื่อคืนผมพบใครหลายๆ คน ที่รู้จักบ้างและไม่รู้จักบ้าง
ที่ทุกคนในนั้นต่างมีความรักในสิ่่งที่ตนเองทำ
ทั้งหมดถูกแสดงออกมาผ่านผลงานในมุมแกลลอรี่เล็กๆ แต่อบอุ่น
ในวงสนทนาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของ ภาพถ่าย มือถือ กล้องและงานศิลป
นี่ไม่ใช่งานแรกที่ผมไปกับเพื่อนเหล่านี้ และผมพบทุกครั้ง ว่า
นัยตาของพวกเขาจะเปร่งประกายทุกครั้งที่พูดในสิ่งที่ตนเองรักและได้ทำมัน
เช้าวันนี้ผมคิดถึงอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมไม่ได้ขอคำชี้แนะมานาน
ท่านสอนจิตวิทยา และเป็นคนที่ผมเปิดใจถามในทุกเรื่องที่ผมอยากจะถาม
ท่านเคยบอกว่า ทุกครั้งที่ผมถาม มักปรากฏแสงในแววตาที่ใครก็รู้สึกได้
ผมไม่แน่ใจนัก เพราะผมชอบถาม หรือ เพราะผมถามในสิ่งที่ผมรัก กันแน่
และผมก็ไม่อาจรู้เช่นกันว่า เมื่อคืน แววตาผมเป็นเช่นไร
ในอารมณ์แห่งความคาดหวังต่างๆ นานา ท่ามกลางสิ่งที่ตนเองรัก
ผมฉุกคิดได้เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ก่อนลงมือกดอักษรตัวแรก
“มนุษย์เสียใจเพราะความหวังใช่หรือเปล่า”
แต่ผมละเลยกับการหาความหมายของคำว่า “ความหวัง”
ผมพยายามหาทดเทนมัน
เพื่อให้ได้คำที่มุมมองเดียวกันแต่มีความรู้สึกที่แตกต่าง
และคำแรกที่เปิดมาจากลิ้นชักของความคิด.. “ความฝัน”
แต่ความฝันผมมองมันด้วยความรู้สึกเดียวกันกับความหวัง
แต่เพียงเป็นหวังที่ตั้งใจเปิดเผย
หรือ แอบตั้งใจลึกๆ ที่ไม่กล้าแสดงออกหรือแม้แต่จะคิด
ด้วยความคิดแบบมายาๆ ที่เรา(หรือผมคนเดียว) ถนัด เช่นนี้
สุดท้าย ฝันจะเป็นจริงหรือไม่ เราคงอยากให้มันสมหวังแบบไม่มีเหตุผล
ผมหยุดคิดต่อครู่หนึ่ง ลิ้นชักชั้นที่สองก็ถูกเปิดขึ้นเอง.. “เป้าหมาย”
ความลังเลเกิดขึ้นเบาๆ เมื่อคำนี้อยู่ในหัวผม
แม้มันจะดูจริงจัง แต่มันก็ดูเข้าท่าที่จะคิดต่อ
ก็เพราะมันดูจริงจังนี่เองหรือเปล่า มันถึงทำให้ผมรู้สึกว่า มันคือ “ความหวัง”
แต่หวังที่เหนือจากความเป็นมายา แต่โลดแล่นอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง
ทุกอย่างที่ตัวเราเองต้องคิด วางแผน และลงมือทำ
อย่างมีเหตุ มีผล และมีที่มาที่ไป
เพื่อให้ถึง “ความหวัง” นั้น
แม้จะ “ผิดพลาด” และ “ไปไม่ถึง”
อย่างน้อย เราก็ได้รู้ว่า เราทำดีที่สุดแล้ว ด้วยตัวเราเอง
อาจจะเสียใจน้อยลง หรือไม่เสียใจเลย ถ้าเทียบกับคำว่า
“ผิดหวัง” หรือ “ไม่สมหวัง”
ผมชอบนะ “มุ่งไปให้ถึงดวงจันทร์ แม้ไม่เป็นดังฝัน ก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว”
มันคงเป็นประโยคที่ ถ้าคนไม่แค่ฝันธรรมดาๆ ได้มองให้มันเป็นเป้าหมายและทำมัน
แม้จะไม่ถึงดวงดาว แต่ก็ยิ่งใหญ่ที่สุด