Category Archives: วิธีคิด

ภรรยา 4 คน ข้อคิดดี ๆ ที่ควรจะอ่าน

ข้อคิดดี ๆ ที่ควรจะอ่าน – เปรียบเทียบได้ดีมากจริงๆ

ชายคนหนึ่งมีภรรยา อยู่ 4 คน

ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจตลอดอยากได้อะไร เขาหาให้ทุกอย่าง

ภรรยาคนที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้ และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ

ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว

ภรรยาคนที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่คิดถึงเลย ด้วยซ้ำ

ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิด ร้ายแรง

และถูกจับ ต้องถูก ประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหาร เขาขอร้อง ว่า เขาขอกลับบ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง ผู้คุมเห็นใจจึง อนุญาต เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่า เหตุการณ์ต่างๆ ให้ ฟัง และถามภรรยา คน ที่ 1 ว่า

” ถ้าเขาต้องตายภรรยาคนที่ 1 จะ ทำอย่าง ไร? ”

ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำ เสียงที่เย็นชาว่า “ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน คำตอบที่ได้รับ เหมือนสายฟ้าที่ผ่า เปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเจ็บปวด และเสียใจเป็นอย่างยิ่งนึกเสียดาย
ว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย

จากนั้นเขาก็ ไปหา ภรรยา คนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง และถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 2
ว่า

“ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร? ”

ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉย ว่า ” ถ้าเธอตาย ฉันจะมี ใหม่ ” เหมือนสายฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขา
อย่างจัง เขารู้สึกเสียใจ มาก และนึกเสียดายว่าที่ผ่านมาเขาไม่ควร ทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน

เขาเดินคอตกมาหาภรรยาคน ที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง และถาม ภรรยา คนที่ 3 ว่า

“ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 3 จะทำ อย่างไร? ”

ภรรยา คน ที่ 3 ตอบว่า “ถ้าเธอตาย ฉันจะไป ส่ง ” ทำให้เขา คลายความ เศร้าโศกขึ้นมาได้ บ้าง อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา

ก่อนกลับไป รับ โทษเขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนซึ่ง ไม่ เคยไปหาเลย จึงไป หา ภรรยาคนที่ 4 และถามว่า
” ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่าง ไร?”

ภรรยาคน ที่ 4 ตอบ ว่า ” ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย ” แทนที่เขาจะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก เพราะ…มัน สายเกินไปเสียแล้ว ช่วงที่เขา มี ชีวิตอยู่เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคนนี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ ด้วย แล้วชายคน นี้ก็กลับไปรับโทษประหารและเมื่อเขาตายภรรยาคน ที่ 4 ก็ตายตามไป ด้วย…..

เราทุกคนก็ มีภรรยา 4 คน นี้

มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ? คิดกันก่อน นะ แล้วค่อยเฉลย…………………………………….

ทีนี้เรามาดูกัน ว่า ภรรยาคน ที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นใครกันบ้าง

ภรรยาคน ที่ 1

ร่างกาย ของ เรา เพราะเวลาเรา มีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่ง ทุกอย่าง อยากได้ อ ะไรก็หาให้ แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา เมื่อเราตายร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น

ภรรยาคน ที่ 2

ทรัพย์ สมบัติ
เพราะเวลา เรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อ ให้ได้มันมา แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา แต่ไปเป็นของคนอื่น

ภรรยาคนที่ 3

พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง เพราะพอเราตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไปให้แปลว่า เขา แค่ไปส่งเราเท่านั้น

ภรรยาคน ที่ 4

บุญกับบาปเมื่อเราตายไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วย ได้ มีเพียงแค่ บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเรา ไป …..

หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้าง ? ….. จะให้ความสำคัญกับภรรยาคนไหนมากกว่ากัน?

หากคุณถูกพันธนาการด้วยรัก คุณจะเป็นนักโทษที่มีความสุขมากที่สุด

Share

สู่….สมดุลแห่งชีวิต

เรื่อง :กมลวรรณ มักการุณ

โดย : Nation Group

โรคร้ายที่รุมเร้า กว่าจะรู้ตัวก็แก้ไขแทบไม่ได้ แม้จะทำงานมีเงินมากมาย แต่ก็ไม่อาจรักษาเยียวยาให้หายได้

ต ลอดชีวิต “พัฒนพงษ์ สมบูรณ์เถกิง” ทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างหนัก ไม่เคยหยุด ไม่คิดจะลา ชีวิตบางเสี้ยวขาดหายไป เมื่อรู้ตัวอีกครั้งว่าเป็นมะเร็งในตับ เขานึกย้อนเสียใจว่าที่ผ่านมา “สมดุลแห่งชีวิต” และเพิ่งเข้าใจว่า

การทำงานต้อง “work smart ไม่ใช่ work hard”

โรคร้าย ที่แม้จะมีเงินนับร้อยนับพันล้าน ก็ไม่อาจรักษาเยียวยาให้หายได้ นอกจากจะบั่นทอนสุขภาพร่างกายแล้ว สภาพจิตใจของผู้ที่เป็น คงไม่ต่างอะไรกับดอกไม้เฉาๆ ที่รอวันโรยรา…

แต่นั่นคือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ “พัฒนพงษ์ สมบูรณ์เถกิง” ที่ปรึกษาใหญ่ของ บริษัทรอยัลแอนด์ซันอัลลายอันซ์ ประกันภัย เป็นอยู่

“พัฒนพงษ์” เคยอยู่ในตำแหน่ง ประธานกรรมการบริหารของ “รอยัลแอนด์ซันอัลลายอันซ์” บริษัทซึ่งเขาได้ร่วมงานมา นับตั้งแต่ยุคก่อร่างสร้างตัว จนถึงวันนี้…วันที่บริษัทสร้างเบี้ยประกันได้ ปีละนับพันล้านบาท แต่เขาต้องลงจากเก้าอี้ “ซีอีโอ” ก่อนกำหนด ด้วยเหตุผลของ “สุขภาพ”

แม้ “พัฒนพงษ์” จะต้องเผชิญกับ “มฤตยูเงียบ” ที่คร่าชีวิตคนไทยในอันดับต้นๆ อย่างโรคมะเร็งในตับ และรู้ตัวดีว่า…เวลาของเขา อาจเหลือไม่มากเท่าคนอื่นก็ตาม แต่เขาก็ยังเดินหน้างานสร้างกองทุน “อโรคยา” เพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่ประสบโรคร้าย เหมือนกับเขา เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจและวิธีป้องกันโรคร้ายนี้

ทั้งนี้ อาจจะเนื่องมาจากกำลังใจ ที่ยังคงเต็มเปี่ยม การดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย การเพียรนั่งวิปัสสนาติดต่อกันหลายปี รวมถึงเส้นทางชีวิตที่เขาบอกว่า เริ่มต้นมาจาก “ศูนย์”

“พัฒนพงษ์” บอกว่าเขาคือ เด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่เข้ากรุง โดยสอบติด ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา ซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นแนวหน้าของเมืองไทย

เราเน้น การผสมผสาน ระหว่างความรวดเร็ว และความเสี่ยงในผลงาน พยายามทำบัญชีอำนาจ ให้ออกมาเพื่อสร้างสมดุล ในสองประเด็นคือ ให้เกิดความรับผิดชอบ กับตัวพนักงาน เพราะจะทำให้เขาผูกพันกับงาน มีความกระตือรือร้น มีการยอมรับในการตัดสินใจมากขึ้น

” ผมมาจากนครนายก ปีที่เข้ากรุงเทพฯ นั้น มีแค่ 2 คนจากนครนายกที่สอบติดเตรียมฯ ประมาณปี 2520 สมัยก่อนเข้ายากมาก สอบเป็นหมื่นๆ คน จากนั้นก็เอนทรานซ์ติดธรรมศาสตร์ ต่อปริญญาโทที่จุฬาฯ แต่ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าต้องมาทำงานด้านประกันภัย เพราะว่าพอเอนทรานซ์ติดในคณะที่ตัวเองชอบคือคณะนิติศาสตร์ ก็คิดอย่างเดียวว่าจะเป็นผู้พิพากษาให้ได้”

“จุดหักเห” ที่ทำให้เขาพลิกผันตัวเอง จนมายืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุด ของธุรกิจประกันภัยนั้น เขาเล่าว่า ” ผมทำงานก่อนคนอื่น ตั้งแต่อยู่เตรียมฯ ผมก็เป็นเซลล์ขายยา ช่วยเค้าขาย พออยู่ปีหนึ่งก็มาทำงานเป็นบ๋อยโรงแรม ซึ่งมีโอกาสได้ฝึกภาษาและได้เงินเยอะ

พ อปีสอง อายุประมาณ 18 ผมก็เลิกทำงานบ๋อย เพราะเพื่อนชวนมาทำงานเซอร์เวย์ประกันภัยกับบริษัท ซี.ซี.ลอว์ (C.C. Law) รายได้ก็เริ่มดีขึ้น ก็ส่งเสียตัวเองเรียนตลอด และให้เงินแม่ด้วย ตรงนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตประกันภัย”

นั่นทำให้เขามองเริ่มเห็นความน่าสนใจ และความท้าทายในแวดวงประกันภัย

พอเริ่มทำงานนี้ “พัฒนพงษ์” ก็มองเห็นว่า ทำงานด้านประกันภัยมันก็ “ไม่เลวนะ” และยังได้ใช้ความรู้ด้านกฎหมายด้วย

“แต่ผมเป็นคนทะเยอทะยาน พออยู่ที่นี่ได้สามปี ก็เริ่มคิดต่อไปอีกว่า เอ ผมจะอยู่อย่างนี้เหรอ วิ่งต๊อกแต๊กๆ ฝนตกแดดออกไปทำเคลม ซึ่งเด็กๆ ก็ทำได้

พออายุมากขึ้นก็ไม่เอาดีกว่า มันเริ่มเบื่อ แต่ยังคิดถึงประกันภัยอยู่ คำว่าผู้พิพากษาเริ่มจางออกไปแล้ว

พอดีตอนนั้นทางศรีเมือง ที่มีบริษัทโตเกียวมารีน จากญี่ปุ่นเป็นผู้ถือหุ้น เขารับสมัครพอดี ก็เลยไป เค้าก็รับเลย เพราะผมภาษาดี”

“พัฒนพงษ์” เข้าไปเป็นพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุ และบริการสินไหมรถยนต์ เป็นงานประจำงานแรก

ทำงานอยู่ที่นี่สามปี จนเรียนจบก็เริ่มคิดว่า “เราน่าจะไปได้ดีกว่านี้”

“อย่างที่บอกว่าผมเป็นคนทะเยอทะยาน แต่งานนี้มันเหมือนเดิม ไม่มีความหลากหลาย ไม่มีความก้าวหน้าในงาน”

ดังนั้นเมื่อ “บริษัทรอยัลแอนด์ซันอัลลายอันซ์” หรือ “สันติภาพประกันภัย” ในขณะนั้นเปิดรับสมัครพนักงาน ทางเดินอีกสายหนึ่งในชีวิตของ “พัฒนพงษ์” จึงเริ่มขึ้น…

“ผมก็คิดแล้วว่าอยู่กับญี่ปุ่นคงไม่รุ่ง คือเค้าจะสุมหัวกันคิดแล้วก็สั่งเรา เขาจะไม่ให้คนไทยคิด เลยคิดว่าไม่ก้าวหน้าแน่ ผมจึงมาสมัครที่นี่ (สันติภาพประกันภัย) ผมรู้จักกับจีเอ็มที่ศรีเมือง ที่ย้ายออกมาเป็นรองจีเอ็มที่นี่

ผมบอกเขาว่า ผมอยากทำงานที่นี่ เขาก็เงียบไปเลย 2 อาทิตย์ ผมก็โทรไปถามว่าตกลงว่ายังไง เค้าบอกว่าอ๋อ เค้าคุยให้แล้วแต่ไม่อยากบอกผม เพราะฝรั่งให้นิดเดียวเอง อยู่ที่ศรีเมืองผมได้หมื่นกว่า แต่ที่นี่ให้ 5,500

ผมก็บอกว่า เฮ้ย! เอาเลย ผมอยากทำ”

เ หตุผลที่เขาอยากร่วมงานนั้นก็เพราะ ซันอัลลายอันซ์หรือสันติภาพ คือ บริษัทประกันภัยแห่งแรกของโลก ก่อตั้งเมื่อปี 1710 จึงอยากมาศึกษางานตรงนี้

“ตอนนั้นผมแต่งงานแล้ว ก็ขายรถแล้วขึ้นรถเมล์เอา ใช้ที่นี่เป็นที่ศึกษา เวลาเค้ากลับไป ผมก็ไปเอากรมธรรม์มานั่งอ่าน ด้วยความสนใจส่วนตัว ดูรูปแบบกรมธรรม์ต่างๆ ว่าเป็นอย่างไร”

หลังจากนั้น “พัฒนพงษ์” ก็อยู่กับรอยัลแอนด์ซันฯ มาตลอด 17 ปี ตั้งแต่ยุคที่องค์กรมี 10 กว่าคน จนตอนนี้ 120 คน จากเบี้ย 30 ล้าน เป็น 1,200 ล้าน

“ที่นี่ก็เหมือนเป็นบ้านที่ 2 ตื่นนอนก็มา ไม่เคยไปไหน สมัยก่อนช่วงที่ผมแข็งแรง ผมจะเจอเด็กอยู่ 2-3 คนตอนเช้า ผมจะเป็นหนึ่งในคนที่ถือกุญแจ จะมีเด็ก 2 คนที่มาเช้า คือไม่ผมก็เค้าต้องเป็นคนเปิดประตู เพราะเวลาช่วงกลางวันผมใช้ได้ไม่เต็มที่ ผมจึงใช้เวลาในช่วงเช้าและเย็นทำงานด้วย”

จากตำแหน่งเสมียน “พัฒนพงษ์” สามารถเลื่อนตำแหน่ง ของตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นหัวหน้าสินไหม ผู้จัดการสินไหม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จนขึ้นเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมื่อปี 2543

นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับตำแหน่งนี้

แม้ว่าในการทำงานจะต้องเจอกับ ปัญหาไม่เว้นในแต่ละวัน แต่เขาก็บอกว่า “ไม่เคยตัน” เพราะใช้หลักการรับฟังต้นเหตุของปัญหา

อย่างกรณี 11 กันยา ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การสื่อสารกับลูกค้า เพราะลูกค้าเคยชินกับอัตราเบี้ยประกัน ที่ต่ำมาโดยตลอด แต่หลัง 11 กันยา เบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า หนทางแก้ไขก็คือ การอธิบายให้ทั้งพนักงาน และลูกค้าเข้าใจ

“พนักงานของเราก็ต้องดูว่า เราทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ ต้องอธิบายให้พนักงานเรา เข้าใจก่อนว่า ต้นทุนขึ้นสองเท่า ไม่ได้หมายความว่าเราได้เพิ่มสองเท่า แต่นั่นคือที่เราต้องให้รีอินชัวเรอร์ เราต้องรีออก เราต้องรีบชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจ ไม่ปล่อยไว้ เพราะการปล่อยเวลาไว้เนิ่นนาน จะทำให้ปัญหาแก้ยากขึ้น”

งานหนักไม่เป็นปัญหา ทว่าเรื่องสุขภาพ กลับเป็นเรื่องใหญ่เกินคาด

เนื่องจากเมื่อ 16 ปีที่แล้ว “พัฒนพงษ์” ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แม้ว่าหลังจากนั้น เขาจะดูแลรักษาสุขภาพอย่างเข้มงวด มีการนั่งสมาธิวิปัสสนาในช่วง 5-10 ปี ที่ผ่านมา ก็ไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับโรคร้าย อย่างมะเร็งตับได้…

“จริงๆ ผมเฝ้าระวังมาตลอด เพราะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ผมเคยเป็นไวรัสบีมา 16 ปี เลยเฝ้ามาตลอด ผมไปตรวจเมื่อเดือนตุลา 44 ไม่เจอ แต่พอเดือนมีนา 45 โผล่มา 6 เซนเลย หากมันเล็กก็ผ่าออกได้ แต่นี่มาแบบไม่ให้โอกาสเลย

ผมก็รักษาโดยการเอาสายยาง สอดเข้าไปทางเส้นเลือดแดง เข้าไปถึงตัวมะเร็งแล้ว ให้เคมีที่ก้อนมะเร็งเลย พอดึงกลับก็ใช้เจลอุดเส้นเลือด ที่ไปเลี้ยงมะเร็ง ทำทั้งให้ยาเคมีและปิดทางให้อาหาร ทำตอนนั้นก็ได้ผลดี จาก 6 เซนเหลือเซนเดียว”

ทว่าหลังจากนั้นเนื้อร้าย แพร่กระจายไปถึงปอด และอยู่ในตับอีก 3 ก้อน “พัฒนพงษ์” บอกว่าโชคดีที่ห้าปีที่ผ่านมา เขาปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด จึงรับปัญหานี้ได้โดยไม่ตกใจ

ขณะที่หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป คง “เสียขวัญ” ตั้งแต่ในวินาทีแรก

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่อาจ ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ และทำให้ต้องเสียใจมาจนทุกวันนี้…นั่นก็คือการแบ่งสมดุลระหว่าง “ชีวิตส่วนตัว” และ “งาน”

“ถึงวันนี้เรามองย้อนไปเราจะรู้ว่าเราโง่ พอเราไม่สบายเนี่ยจะรู้เลยว่า ความสมดุลในชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก

ผมขาดความสมดุล ในชีวิตการทำงานมาโดยตลอด ไม่เคยลาพักร้อน เพราะผมรู้สึกว่างานมันสำคัญ และผูกพันกับผมมาตลอด ในชีวิตผมไม่เคยหยุดงานเลย ซึ่งผมบอกได้เลยว่าไม่ดี

หากเราสามารถสร้าง ความสมดุลได้ทั้งในเรื่องการงาน และชีวิตส่วนตัวก็จะเกิดความสุข”

บทเรียนครั้งนี้ทำให้ “พัฒนพงษ์” บอกว่า

“เราต้อง work smart ไม่ใช่ work hard เพราะการสร้างสมดุลระหว่างชีวิต และงานเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว และผมไม่สามารถย้อนอดีตไปได้อีกแล้ว”

อย่างไรก็ตามเขาบอกว่า ทุกวันนี้สภาพจิตใจของเขา ยังดีเหมือนเดิมทุกอย่างซึ่งส่วนหนึ่งเป็น “อานิสงส์” มาจากการปฏิบัติธรรมในช่วงห้าปีหลัง ที่ทำให้จิตใจของเขาสงบ และผ่อนคลายขึ้นมาก

“ตอนนี้ต้องดูแลตัวเอง ตื่นเช้ามาก็เดินจงกรม สวนลำไส้ ออกกำลังกายครึ่งชั่วโมง ถ้าเราไม่ทำร่างกายให้แข็งแรง เราก็จะไม่สามารถสู้กับมันได้ แล้วก็ฝึกวิปัสสนา ฝึกให้เห็นความเป็นจริงของเกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อมีโอกาสก็ไปบรรยายธรรมอีกด้วย

หลักมันมีอยู่นิดเดียว คือ คนเราจะตายเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ ส่วนคนที่รู้ว่าจะตายอย่างผม ผมรู้ว่าจะตายเร็วกว่าคนอื่น อาจอยู่ได้อีกหกเดือนหรือหนึ่งปีถ้าโชคดี

ดังนั้นระหว่างความทุกข์กับความสุข ผมก็ต้องเลือกความสุข ในช่วงเวลาที่เหลือจะทุกข์ไปทำไม”

“พัฒนพงษ์” บอกว่า เมื่อเขาไปชี้แนะทางให้กับ คนที่เป็นมะเร็งตับ

เขาจะบอกว่า “เวลาคุณเหลือน้อยกว่าคนอื่น แต่ความตายไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือ ตอนที่คุณยังไม่ตายจนถึงวันที่กำลังจะตาย คุณจะเลือกเอาแบบไหน ทุกข์หรือสุข คุณเลือกได้”

ทุกวันนี้ “พัฒนพงษ์” บอกว่า เขามีความสุขมากๆ

“บอกได้เลยว่ามีความสุขมากๆ ทุกข์ก็มีบ้างแต่น้อย จะบอกว่าไม่ทุกข์เลยก็โกหก เรามีความสุขในช่วงชีวิตที่เหลือ คือเราได้ทำเวบไซต์ www.arokaya.org เผยแพร่ความรู้ ให้คนอีก 10% ของคนไทยทั่วประเทศได้รู้ตรงนี้

หากได้อ่านข้อเขียนของผม สะกิดใจแค่นิดเดียวอาจจะรอดได้ เช่น บอกว่าตัวอัลฟ่าทอกซิน จะเป็นตัวเร่งคนที่เป็นไวรัสบี เพราะฉะนั้นคนที่เป็นไวรัสบี ไม่ควรกินถั่วลิสง พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจียว เต้าหู้ยี้ แค่นี้ 5 อย่าง ทำให้ชีวิตเค้ายืนยาวต่อไปได้

คืออย่างน้อยๆ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเราก็ได้สร้างกรรมดี ก็สบายใจ” เขากล่าวทิ้งท้าย ด้วยน้ำเสียงที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง…

อ้างอิงจาก
1: http://www.nationejobs.com/content/worklife/worklife/template.asp?conno=497

2: http://www.bangkokbiznews.com/road/20030203/mar34.shtml

Share

20 วิธีการจัดการแรงจูงใจ

พอดีวันนี้ผมได้มีโอกาศเข้าไปอ่านเนื้อหาของ Zenhabits โดยผมดูที่ Top Post ของเขาเจอหัวข้อหนึ่งน่าสนใจสุดๆ Top 20 Motivation Hacks เลยแปลมาให้ฟังกัน

20 วิธีการจัดการแรงจูงใจ

  • ทำชาร์ตความก้าวหน้า เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราประสบความสำเร็จไปถึงไหนแล้ว ถ้าหากมีุจุดที่ไม่ดีจงอย่าท้อแท้และสู้ต่อไปเพื่อสร้างจุดที่ดีต่อไป
  • สิ่งที่ตัวเองอยากทำ 100% ให้ทำเพียง 50%-75%
  • เข้าสังคมทั้งแบบ Offline หรือ Online เพื่อให้คุณมีแรงจูงใจและมีเป้าหมายที่มั่นคง
  • นำภาพความสำเร็จของคุณมาวางไว้ที่คุณเห็นบ่อยๆ แ้ล้วนึกถึงมันบ่อยๆ (ข้อนี้จริงอย่างแรง)
  • หาเพื่อนร่วมงานหรือคนที่อยากประสบความสำเร็จเหมือนกันในเป้าหมายที่ตั้งไว้เหมือนกับเรา
  • เริ่มทำมันซะ !!! (ผมกว่าจะฝ่าคำนี้ออกมาได้นานอยู่เหมือนกันนะ)
  • ทำให้มันสนุกสนาน ถ้าสิ่งที่คุณอยากจะทำเป็นเรื่องที่สนุกสนานการทำงานนั้นจะดีกว่าคุณทำเพื่อ จุดประสงค์อื่นถ้าคุณสนุกไปกับมันคุณจะทำได้ดี
  • ต้องใช้เวลาและอดทน (คนไฟแรงนี้เซร็งเลยเจอข้อนี้แต่มันคือเรื่องจริงครับ)
  • แตกย่อยเป้าหมายใหญ่ๆเป็นเป้าหมายย่อยๆ (เพื่อที่จะเห็นความก้าวหน้าเป็นขั้นๆ)
  • ให้รางวัลตัวเองบ่อยๆ (จะได้มีกำลังใจทำต่อไปเรื่อยๆไง)
  • ค้นหาแรงบันดาลใจ อย่างสม่ำเสมอ
  • หาผู้แนะนำหรือไปเรียนเพิ่ม (่หาสิ่งแปลกๆใหม่ก็เป็นการเรียนนะ)
  • มีเหตุผลอย่างเต็มที่และเขียนมันซะ เพราะการมีเหตุผลในสิ่งที่เราสนใจมันจะให้ความมีพลังมากกว่าเป็นสิ่งที่คุณสนใจเฉยๆ
  • กา่รตระหนักและกระตุ้นให้มันออกมาและเตรียมตัวสำหรับมัน สำหรับข้อนี้ผมมองว่าเขาหมายถึงให้นึกสิ่งที่เราอยากจะทำแล้วมันจะัเกิดเป็น Idea ให้เราเขียนและเตรียมตัวก่อนจะลงมือจริง
  • ทำให้เป็นกฎไม่ใช่ทำผลัดวันประกันพรุ่ง (ข้อนี้ก็จริงแท้ๆ)
  • มโนภาพถึงเป้าหมายให้ชัดเจนในแต่ละวันอย่างน้อยก่อนทำ 5-10 นาที
  • ทำบันทึกประจำวันเกี่ยวกับเป้าหมายของคุณ
  • สร้างเพื่อนใหม่ซึ่งเกลือหนุนและแข่งขันกัน (ผมโชคดีที่ได้ Zelandiax เป็นคนให้กำลังใจ (คน Comment ให้ผมคนแรกแล้วติด Link ให้ผม :))
  • สร้างความรับผิดชอบต่อสาธารณะชน รับผิดชอบแบบ 100% (การสร้างความรับผิดชอบทำให้คุณมีระเบียบ) เช่นการทำ Blog ก็จะทำให้คุณมีระเบียบมากขึ้น (จริงๆนะถ้ามีคนเข้ามาอ่านเยอะๆ ^^)
  • คิดในทางที่ดีอยู่เสมอ ล้างความคิดที่ไม่ดีออกให้หมด พลังแห่งการคิดในแง่ดีมีพลังมากในการเกิดสิ่งมหัศจรรย์ !! (การที่เราคิดถึงสิ่งแย่ๆมักจะทำให้เราล้มเลิกด้วย)
  • ผมชอบเก็บพวกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยพวกนี้ไว้มากๆ มันช่วยให้เราไม่ต้องหาคำตอบเอาเอง บางทีมันเป็นคำตอบที่ตรงใจเรามั่งไม่ตรงใจเรามั่ง ก็ปรับเปลี่ยนแก้ไขให้มันตรงใจเรา แล้วเขียนเป็นทฤษฎีของตัวเองก็ดีไปอีกแบบนะครับ

    ที่มา: http://www.dominixz.com/

    Share