Category Archives: สุขภาพ

หมอจีนกับอาการร้อนใน

ยุคนี้เหมือนคนจะเป็น “ร้อนใน” กันเยอะครับ ชีวิตที่รีบเร่ง อาหารการกิน รวมไปถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอล้วนแล้วแต่เป็นต้นเหตุของการ “ร้อนใน” ทั้งนั้น เดี๋ยววันนี้เรามาพูดถึงว่าหมอจีนมองอาการ “ร้อนใน”เป็นอย่างไร

อาการ “ร้อนใน” คืออะไร? คร่าวๆก็คงมีอาการเหงือก กระพุ้งแก้ม ริมฝีปาก ลิ้นที่จู่ๆก็เป็นแผล (ไม่นับแผลที่กัดเองนะ) คอแห้ง ปากขม หิวน้ำ เจ็บคอ สิวขึ้น ตาแห้ง โพรงจมูกแห้ง ท้องผูก เป็นต้น ผมเคยร้อนในถึงขั้นรู้สึกว่าจมูกร้อนวูบวาบ ได้กลิ่นเลือด เหมือนเลือดกำเดาจะไหลเลยนะ


คำว่า “ร้อนใน” นี้ถ้าจับมาอธิบายก็คงได้ความว่า มี “ไฟ” มาเผาทำให้ข้างในร่างกายเราร้อน ซึ่งอาการที่บอกมาข้างบนก็เหมือนอาการโดนไฟเผาจริงๆ เพราะฉะนั้นต้นกำเนิดของ “ร้อนใน” มาจาก “ไฟ”ครับ

แล้ว “ไฟ” ในร่างกายมาจากทางไหนได้บ้างละ เราจะได้ไปตัดไฟแต่ต้นลม อาการร้อนในก็จะหายไปเอง ตรงนี้ขอแบ่งไฟออกเป็นสองแบบ

หนึ่งคือ ร้อนจริงไฟจริง ไม่มีตัวแสดงแทน โดยมากมักมาจากอาหารการกินครับ หรือที่เราเรียกว่ากินของร้อนใน เช่น กินของ ทอด ของมันๆ ขนม น้ำตาล ทุเรียน ลำไย เหล้า้เบียร์ เป็นต้น พอกินอาหารพวกนี้ลงไป กระเพาะจะร้อน ธาตุไฟเผาขึ้นจึงเกิดอาการร้อนในดังที่ว่า กลุ่มนี้กินพวกยาขม ยาแก้ร้อนในที่ขายกันตามท้องตลาด มะระ สาลี่ บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร แตงกวา ฟัก อาหารที่มีฤทธิ์เย็นต่างๆ ไปดับร้อน หรือไม่ก็ดูแลการขับถ่ายให้ปกติ เมื่อไฟที่กระเพาะมีทางออก ร้อนในก็จะหายไปเอง รักษาค่อนข้างง่าย แต่ไม่ควรกินระยะยาว เพราะอาหารธาตุเย็นมันทำลายระบบการย่อยอาหารของคนครับ ผมจึงไม่สนับสนุนการกินฟ้าทะลายโจรในระยะยาวโดยคิดว่ามันเป็นยาอายุวัฒนะ

ร้อนในชนิดร้อนจริงนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก เพราะนี่คือร้อนในแบบที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ทั้งยังคิดว่ามันมีอยู่แบบเดียวด้วยซ้ำ ซึ่งผิดมากๆ การเข้าใจผิดครั้งนี้ทำให้สุขภาพของคนไทยย่ำแย่โดยที่ไม่รู้ตัวเลย

“ร้อนใน” คำนี้จริงๆแล้วผมว่าตั้งชื่อได้ไม่ถูกต้องซะทีเดียวนะครับ เพราะมันทำให้คนเข้าใจว่ามีไฟอยู่ข้างใน อีกทั้งคนไทยเ้ข้าใจว่าประเทศไทยเป็นเมืองร้อน เพื่อความสมดุลจึงควรกินของเย็นๆเข้าไป หวังดับไฟอันนั้นซะ ซึ่งผิด ผิด และผิด

นี่จึงเป็นที่มาที่ผมต้องพูดถึงร้อนในประเภทที่สอง นั่นคือ “ร้อนนอกแต่เย็นใน” เรียกง่ายๆว่า “ร้อนปลอม”ครับ ตรงนี้ต้องใช้หยินและหยางมาอธิบาย หยินคือเย็น เปรียบเหมือนเครื่องจักร หยางคือร้อน เปรียบเหมือนพลังงาน ทุกวี่วันนี้คนเราใช้พลังงานเยอะมาก นอนน้อย ทำงานหนัก ชอบกินของเย็นๆ (น้ำแข็ง ไอศครีม) ล้วนแล้วแต่ใช้หยางทั้งนั้น ใช้เยอะของมันก็ต้องหมด หยางพร่องหยินก็จะแข็งแรง เนืองจากสภาวะปกติมันคานอำนาจกันอยู่ พอหยางอ่อนแรงลงหยินที่เยอะกว่าจึงผลักหยางออกไป กฎธรรมชาติข้อนี้สามารถเห็นได้ในทุกๆเรื่องแม้แต่การเมือง หึๆ

หยางโดนผลักออกไปเลยเกิดเป็นอาการร้อนในขึ้น มีอาการครบเหมือนเป๊ะกับ ทุกอย่างที่กล่าวมาไม่ว่าจะปากเป็นแผล สิวขึ้น ตาแห้ง จมูกแห้ง คอแห้ง ปากขม อาจจะมีอาการท้องผูกบ้างในบางราย แ่ต่คนกลุ่มนี้มักจะถามตัวเองว่า

“เราร้อนตรงไหนวะ”

“ขี้หนาว มือเท้าเย็นขนาดนี้ ร้อนในได้ไง?”

“ร้อนในน่าจะคึกคักเพราะไฟมันแรงนี่นา ทำไมถึงได้เหนื่อยๆเพลียๆไม่มีเรี่ยวแรงเลยล่ะ?”

กินอาหารฤทธิ์เย็นป้องกันตัวอยู่ตลอด ทำไมมันถึงไม่หายร้อนซะทีละ ทำไมยิ่งกินถึงยิ่งเป็นร้อนในง่ายขึ้น?”

มีคนพยักหน้าตามผมบ้างไหม? ผมนี่แหละเป็นคนนึงที่เป็นแบบนี้ แต่ก่อนผมร้อนในง่ายมากครับ กินมันฝรั่งทอดชิ้นสองชิ้นก็ปากเป็นแผล เจ็บคอซะแล้ว คนอื่นกินกันห้าหกซองไม่สะทกสะท้าน ตั้งแต่ เด็กโดนที่บ้านปลูกฝังว่า ปากเป็นแผล ท้องผูกก็ไปกินยาขมแก้ร้อนในสิ  กินซะจนร่างกายเสียสมดุลไม่รู้เรื่อง จนตอนนี้มาเรียนหมอจีนถึงได้ตระหนักและรีบแก้ไข

ที่ขี้หนาว ร่างกายไม่มีแรงก็เพราะว่าธาตุหยาง พลังงานไม่พอไงครับ ที่กินอาหารฤทธิ์เย็นแล้วยังไม่หาย หรือเป็นหนักกว่าเดิมก็เพราะว่าต้นเหตุของปัญหาคือธาตุหยินธาตุเย็นเต็มร่าง กายไปหมดแล้ว ยิ่งกินก็ยิ่งแย่สิครับ

มีอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยแยกได้ว่าเราร้อนในจริงหรือเปล่าก็คือ เรื่องขับถ่าย คนร้อนจริงอุจาระจะแข็งครับ แล้วก็มีความอยากถ่าย (ปวดขี้นั่นแหละ) ส่วนคนร้อนปลอมส่วนใหญ่จะท้องผูกเพราะไม่มีแรงเบ่ง ไม่ปวดอึ และถึงไม่อึก็ไม่รู้สึกอึดอัดอะไรมาก อุจาระจะมักไม่แข็ง หรือถึงแข็งก็แข็งเฉพาะตอนต้น พอถ่ายออกแล้วท่อนหลังๆจะเหลวๆแทน คนร้อนปลอมถ้าท้องไม่ผูก ก็อาจจะท้องเสียครับ ถ่ายเหลวตลอด อุจาระที่เหลวเป็นน้ำก็คือธาตุหยินที่เต็มร่างกายไปหมดนี่เอง อันหลังนี่เป็นประเภทเข้าขั้นรุนแรงแล้วครับ ควรรักษาด่วนครับ อย่างผู้ติดเชื้อ HIV ปากจะเป็นแผล (แผนปัจจุบันบอกว่าเพราะภูมิต้านทานต่ำ) แต่ส่วนใหญ่แล้วท้องเสียครับ อันนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของร้อนปลอมครับ หรือผู้สูงอายุบางท่านที่มีอาการขี้หนาว มือเท้าเย็น แต่ร้อนในและท้องผูกก็เป็นเคสนี้ด้วยเช่นกัน

การรักษาโรคร้อนปลอมนี้ไม่ควรไปกินอาหารที่ทำให้ร้อนในครับ ไม่ใช่ว่าให้ซัดเหล้าเบียร์แล้วจะหาย แม้อาหารพวกนี้จะมีฤทธิ์ร้อน แต่ก็แก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุด หมอจีนจะให้การรักษาด้วยยาบำรุงธาตุหยาง เมื่อหยางแข็งแรงแล้วก็จะกลับไปงัดกับหยินต่อ ไม่โดนผลักออกไปอีก แล้วร้อนในจะหายไปเองครับ อย่างผมตอนนี้กินของทอดๆแล้วไม่ร้อนในง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

อ่านจบมาถึงตรงนี้แล้วก็ลองวิเคราะห์ตัวเองดูครับ คราวหน้ามี “ร้อนใน” ก็อย่าหลับหูหลับตากินแต่ของที่มีฤทธิ์เย็นเพราะคิดว่าตัวเองร้อนใน ให้ถามตัวเองก่อนทุกครั้งว่า “ร้อนใน ร้อนไหน ร้อนจริงไหม” ครับ

related link:

ร้อนใน-แผลในปาก -=Byหมอแมว=-

Super Recommended ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกต้อง

ปรัชญาดอกไม้ริมทาง – นอน นอนเถิดนอน อยากให้เธอเข้านอน (วิธีชาร์จธาตุหยางด้วยการนอน)

ต้นฉบับจาก พี่ หมอเชน – หมอจีนกับอาการร้อนใน

Share

9 โรค ในออฟฟิศ ที่มนุษย์เงินเดือนต้องเฝ้าระวัง

รู้กันหรือไม่ว่า ออฟฟิศ หรือสถานที่ที่มนุษย์เงินเดือนนั่งทำงานกันวันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย นอกจากจะเป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่ามอบความมั่นคงในชีวิตแล้ว ออฟฟิศที่คนหนุ่มคนสาวหายเข้าไปตอนเช้าตรู่ กรูกันออกมาตอนพักเที่ยง และกลับบ้านตอนเย็น นั่นมี 9 โรคออฟฟิศสิงอยู่

9 โรคที่ต้องเฝ้าระวังมีอะไรบ้างมาดูกัน

1.โรคผมร่วง

อย่าเพิ่งขำเชียวว่า ออฟฟิศทำให้ผมร่วง เพราะนี่ไม่ได้เป็นการขู่ให้ใครกลัว แต่รู้เถอะว่านอกจากอาการเครียดเป็นสาเหตุหลักทำให้เส้นผมร่วงมากกว่า 30 เส้นต่อวันแล้ว หนุ่มสาวออฟฟิศที่ได้รับแสงอาทิตย์ไม่เพียงพอ ก็เป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงเช่นกัน เพราะแสงแดดในยามเช้าช่วยให้เราสังเคราะห์วิตามินเคที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงหนังศีรษะด้วย

2.ปวดหัว, ไมเกรน

สาเหตุก็คงทราบกันแล้วว่า อาการปวดหัว หรือไมเกรน เกิดจากความเครียด แต่สาเหตุอีกประการที่น่าสนใจคือ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ กาเฟอีน(กาแฟ น้ำอัดลม ยาชูกำลัง) อาหารไขมันสูง อาหารประเภทเนื้อสัตว์ 90% เป็นอาหารหลัก

แม้ว่าอาการอัลไซเมอร์จะเป็นอาการสมองเสื่อมโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆ ของอาการสมองเสื่อมอื่นๆ ก็คือ การรับประทานอาหารดังกล่าว อีกสาเหตุหนึ่งที่น่าสนใจคือการขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยปรกติเราต้องออกกำลังกายประมาณ 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย แต่มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่มักอ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย

3.ปวดตา น้ำตาแห้ง

การนั่งหน้าจอเกินวันละ 6 ชั่วโมง และการเพ่งอยู่หน้าจอในที่มืดรวมทั้งการขาดวิตามินเอ และบี ถ้าไม่อยากให้น้ำตาแห้งก็ควรหาโอกาสออกไปมองฟ้าบ้างก็น่าจะดีไม่น้อย

4.ไซนัส

ดูเหมือนโรคเป็นหวัด คัดจมูก ภูมิแพ้ จะกลายเป็นโรคประจำของหนุ่มสาวออฟฟิศไปซะแล้ว ก็วันๆ นั่งอยู่แต่ในห้องปรับอากาศ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าพนักงานแอร์มาทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศครั้งสุด ท้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ ทางที่ดีควรหาเวลาออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง ปอดจะได้ไม่พังก่อนเวลาอันควร

5. ปากเหม็น

นอกจากอาหารพวกกาแฟ แอลกอฮอล์ ความเครียด ยังเป็นพาหะเร่งให้แบคทีเรียทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ดีที่สุด ถ้าไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นคนปากเหม็นก็ต้องพูดให้มากขึ้น น้ำลายจะได้ไม่บูด

6.ปวดคอ, ปวดไหล่

ปวดข้อ ปวดนิ้ว โดยมากเกิดจากอาการนั่งทำงานผิดท่า นั่งเก้าอี้โต๊ะที่ไม่รองรับต่อการทำงาน แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า แม้ท่านจะนั่งถูกท่าแล้ว แต่หากนั่งเป็นเวลานานๆ ไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถซะบ้าง อาการปวดคอ ปวดไหล่ ก็ถามหาเช่นกัน

7.โรคอ้วน

ทุกวันเรากินอาหารอย่างน้อย 3 มื้อ มีพลังงานมากมายเข้าสู่ร่างกาย แต่ถูกเผาผลาญไปน้อยนิดก็ต้องอ้วนเป็นธรรมดา ถ้าไม่อยากให้ออฟฟิศเป็นสถานที่เพาะน้ำหนักแล้วละก็ อาหารประเภทแฮมเบอร์เกอร์ น้ำอัดลม พิซซ่า ที่คุณทำไปกินไปน่ะเลิกซะ

8.โรคกระเพาะ

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโรคฮิตของหนุ่มสาวออฟฟิศ เพราะนอกจากการกินอาหารไม่เป็นเวลาจะเป็นสาเหตุใหญ่ รู้หรือไม่ว่าการกินอาหารแบบเร่งรีบ ยังส่งผลให้กระเพาะ และระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพด้วย

9.ริดสีดวง

การนั่งนานๆ จะทำให้เกิดการกดทับของเส้นเลือดดำบริเวณปลายลำไส้ และเกิดอาการเลือดคั่ง บวม ยิ่งน้ำหนักมาก ก็จะยิ่งเร่งให้เป็นโรคนี้เร็วขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นนอกจากจะต้องควบคุมน้ำหนักตัวแล้ว ควรอย่างยิ่งที่หนุ่มสาวออฟฟิศจะต้องลุกเดินไปทักเพื่อนร่วมงานบ้าง ว่าแต่อย่าไปเมาท์นานจนเจ้านายตาเขียวเชียว เดี๋ยวจะกลายเป็นโรคตกงานแทนโรคออฟฟิศไม่รู้ด้วยนะ

รู้กันอย่างนี้ ถ้าไม่อยากได้โรคทั้ง 9 เป็นของแถมจากออฟฟิศ ก็ลุกขึ้นมาใส่ใจสุขภาพตัวเองกันได้แล้ว เพื่อคนที่คุณรักและคนที่รักคุณ

ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข

อ้างอิง : Manager Online

Share

“โรคความดันต่ำ” ในมุมมองแพทย์จีน

มีคนขอให้เขียนเรื่องความดันโลหิตต่ำ ซึ่งผมเห็นว่าแพทย์จีนมีมุมมองที่น่าสนใจดีเลยเอามาแบ่งปันกันครับ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจกันก่อนว่าความดันต่ำคืออะไร? ความดันโลหิตต่ำก็คือ การใช้เครื่องวัดความดันวัดค่าออกมาได้ต่ำกว่า 100/60 อาการที่มักพบคือ เป็นคนที่ไม่มีแรง เวียนหัว หัวหมุนและคลื่นไส้อาเจียนได้ง่าย

ทีนี้มาดูว่าแพทย์จีนมองความดันโลหิตต่ำว่าอย่างไร

คำตอบคือ ในศาสตร์แพทย์จีนนั้น ไม่มีคำว่า “ความดันโลหิต”ครับ เพราะฉะนั้นไม่ว่ามันจะสูงหรือต่ำ เราไม่สน มันไม่มีผลในการตัดสินใจเลือกใช้ยารักษา ที่เราสนใจคืออาการของคุณต่างหากนั่นก็คือ “เป็นคนที่ไม่มีแรง เวียนหัว หัวหมุนและคลื่นไส้อาเจียนได้ง่าย”

เวลาหมอจีนรักษาโรคนั้นจะเน้นพิจารณาที่อาการเป็นหลัก แล้วใคร่ครวญว่าจากอาการที่เกิดขึ้นนี้ได้สะท้อนให้เราเห็นว่าอวัยวะภายในส่วนใดทำงานผิดปกติบ้าง แล้วจึงเปิดยา เช่น ปวดเมื่อยหลังจะนึกถึงไต ตาแดงจะนึกถึงตับหรือว่าธาตุไฟ เจ็บจุกสีข้างจะนึกถึงตับแม้ว่าจะเป็นสีข้างด้านซ้ายก็ตาม (ตับอยู่ทางขวา) นอนไม่หลับจะนึกถึงหัวใจและเลือด เป็นต้น (อวัยวะที่กล่าวถึงคืออวัยวะในทางแพทย์จีน ไม่ใช่ตับ ไต หัวใจจริงๆในทางสรีระวิทยานะครับ) จากอาการของความดันโลหิตต่ำที่ว่ามาข้างบนนั้นแพทย์จีนจะบอกว่า

“เลือดและลมปราณของม้ามไม่เพียงพอ”

ม้ามในแพทย์จีนเป็นแหล่งผลิต “สารอาหาร” (เลือดและลมปราณ) ถ้าม้ามไม่แข็งแรง “สารอาหาร”ก็จะผลิตได้ไม่เพียงพอ ลมปราณพร่องก็จะเป็นคนไม่มีแรง เหนื่อยง่าย เลือดพร่องก็จะเวียนหัว อันนี้อธิบายง่ายๆนั่นแหละครับว่าเลือดไปเลี้ยงไม่พอ เลือดพร่องที่บอกนี้ไปตรวจเลือดอาจจะไม่เจออะไรผิดปกติเลยก็ได้ครับ

ในคนไข้บางรายมีอาการใจสั่น ใจเต้นเร็ว หมอจีนจะอธิบายว่าเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ (กรณีอธิบายคล้ายกับหัวใจขาดเลือดของแผนปัจจุบัน)

นอกจากอาการเหล่านี้ เลือดและลมปราณของม้ามไม่เพียงพอยังอาจจะก่อนให้เกิดอาการที่คุณคาดไม่ถึงได้อีก เช่น ท้องเสีย นอนไม่หลับ ฝันเยอะ หน้าซีด เลือดออกง่าย ประจำเดือนมาเยอะ หรือมาถี่ เป็นต้น

เพราะฉะนั้นถ้าผมตรวจ ผมจะไม่ได้ให้ความสนใจค่าความดันคุณเป็นหลักครับ บอกแล้วว่าหมอจีนเราไม่มีความดันโลหิต เมื่อผมรักษาให้อาการต่างๆของคุณหายได้นั่นนับเป็นการรักษาหายแล้ว แม้ว่าค่าความดันคุณจะคงเดิมเหมือนครั้งแรกที่มาหาผมก็ตาม

วิธีรักษา “ความดันต่ำ” นี้ เราก็จะบำรุงเลือด บำรุงลมปราณครับ แต่จะให้บอกว่าไปซื้อยาบำรุงยังไงนั้นคงบอกไม่ได้ เพราะในแต่ละคนไข้ก็จะมีความไม่สมดุลย์ที่ต่างกัน ต้องมาหาหมอพิจารณาเป็นรายคนไป ตรงนี้ผมจะบอกวิธีกายบริหารง่ายๆที่สามารถบำรุงลมปราณได้ให้ไปทำกันแทนครับ

วิธีการก็ง่ายมากเลยครับ หาจุด 足三里 (จู๋ซานหลี่) ที่บริเวณหน้าแข้ง แล้วก็กำมือทุบๆบริเวณจุดนี้ซักสิบกว่าที ทำทั้งสองขาก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ทำทุกวันใช้เวลาแค่ไม่เท่าไหร่เองครับ จุดจู๋ซานหลี่นี้เป็นจุดบนเส้นลมปราณกระเพาะครับ พอกระเพาะแข็งแรงก็กินข้าวอร่อย ดูดซึมสารอาหารดี ก็นำไปผลิตเป็นเลือดและลมปราณให้เราได้ครับ ถึงขั้นมีคำกล่าวว่ากระตุ้นจุดนี้มีค่าเท่ากับกินไก่ตุ๋นเลยทีเดียว

วิธีหาจุดนี้ ถ้าเรางอเข่า เราจะรู้สึกว่าตรงหัวเข่าเรามีรอยบุ๋มอยู่สองข้าง ลองใช้มือกดๆดูก็จะเจอครับ ในรูปจุดที่อยู่เหนือนิ้วชี้คือรอยบุ๋มด้านนอก ด้านในจะมีอีกบุ๋มนึง จาก นั้นก็เอานิ้วสี่นิ้วประกบชิด โดยเอานิ้วชี้วางไว้ใต้ระดับรอยบุ๋มที่หัว เข่า ระดับที่นิ้วก้อยแนบอยู่คือระดับของจุดจู๋ซานหลี่ เอาอีกมือมาลองลูบใต้นิ้วก้อยจะเจอกระดูกหน้าแข้ง จู๋ซานหลี่จะอยู่ด้านนอกของกระดูกหน้าแข้งถัดไปประมาณ 1.5 ซม.โดยประมาณ (จุดที่อยู่ใต้นิ้วก้อยในรูปก็คือจู๋ซานหลี่ครับ) ขาทั้งสองข้างหาเหมือนกันครับ หาเจอก็ใส่ไม่ยั้งไปเลยครับ คิดซะว่ากำลังกินไก่ตุ๋นอยู่ละกัน เวลาเคาะจะรู้สึกว่าบริเวณนั้นจะชาๆ เสียวๆ นั่นแสดงว่ามาถูกทางแล้วครับ

ท่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนความดันต่ำทำนะครับ ใครๆก็ทำได้ทั้งนั้นครับ เหมือนเป็นการบำรุงร่างกายทางนึง ถือซะว่าวันนี้หมอเชนใจป้ำเลี้ยงไก่ตุ๋นทุกคน ซัดกันให้เต็มคราบเลยนะครับ อิๆ

เพิ่มเติมนิดหน่อยสำหรับเรื่องความเข้าใจผิดอย่างนึงเกี่ยวกับการกินแอลกอฮอลล์รักษาโรคความดันต่ำ คือเขาคิดว่าแอลกอฮอลล์ทำให้เลือดลมเดิน มันจะได้พาเลือดลมไปเลี้ยงทั่วร่างกาย แต่อย่างที่บอกว่าในทางแพทย์จีนมันคืออาการเลือดและลมปราณไม่เพียงพอ น้ำไม่เต็มสายยาง ต่อให้เปิดแรงดันให้น้ำเดิน มันก็ไปเลี้ยงที่อื่นๆได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว พอแรงดันหายไป อาการก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุครับ แถมกินแอลกอฮอลล์มากไปก็ไม่ดีอีกครับผม

โดย คุณหมอเชน http://aunlamun.exteen.com/20090605/entry

Share