Category Archives: สุขภาพ

ผ่าตัดต้อกระจก ต้อเนื้อ ฟอกไต ฟรี โดยบริษัททาสของแผ่นดินจำกัด

ชีวิต ที่เหลืออยู่ของ ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ เขาขอเดิน รอยตามพระยุคลบาทองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะสิ่งที่ผู้ชายคนนี้แบกไว้ ไม่ใช่ความรวย ไม่ใช่ความดี แต่คือ ‘ความจน’ ที่เขาจะแบกไปตลอดชีวิต…

ผู้ ที่ประสงค์ผ่าต้อกระจกฟรี หรือต้องการฟอกไตฟรี กรุณาติดต่อไปยังโรงพยาบาลบ้านแพ้ว และนายชูศักดิ์ แก้วสุริยอร่าม บริษัท ทาสของแผ่นดิน จำกัด อาคารพระมหากรุณาธิคุณ เลขที่ 98 ซอยสุขุมวิท 24 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม. 10110

ฟอกไต : โทร. 02-262 9454-5
โรคเกี่ยวกับตา : โทร. 089-889 0097, 02-261 8213-7

โดย ผู้ป่วยที่ประสงค์ผ่าต้อกระจกฟรี กรุณาเตรียมบัตรประชาชน และบัตรทองมาด้วย และสามารถรับการตรวจได้ในวันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 08.00 น.- 11.00 น.
ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก :

http://www.jsl.co.th/minisite/index.php?tv=0006&sec=hilight&hilight=3909

โครงการ คืนแสงสว่างให้ผู้ป่วยต้อกระจกและต้อเนื้อ ขอเรียนเชิญผู้ป่วยทุกท่านมารับ บริการผ่าตัดต้อต้อกระจกและต้อเนื้อ ฟรี โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

โดยมีแพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) สาขาสุขุมวิท ซอย 24

ติดต่อได้ที่

บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด (02-2629454-5, 02-2618213-7) เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ 8.00-17.00 น.
เลขที่ 99/359-360 ซอยสุขุมวิท 24(เกษม) ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทร 02 262 9454-5 แฟ็กซ์ 02 262 9454

**** เอกสารที่ต้องนำมาด้วย ถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรทอง อย่างละ 2 ใบ แพทย์จะทำการตรวจคนไข้ใหม่เฉพาะวันพุธและวันศุกร์ กรุณาโทรแจ้งล่วงหน้า****

คนบางคนอาจจะเห็นว่าไม่สำคัญ แต่สำหรับบางคนอาจจะต้องการแสงสว่างเพื่อที่จะทำ ให้ชีวิตเค้ามีค่ามากว่าอยู่ในความมืดมัว ถ้าใครมีจิตศรัทธาที่จะทำบุญช่วยกัน บอกต่อๆไปด้วย การทำบุญด้วยการให้แสงสว่างแก่คนมาค่ามากกว่าสิ่งใดเพราะมันจะช่วยให้ชีวิต หนึ่งชีวิตที่พวกคุณหยิบยื่นไปให้ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง

* เช็คข้อมูลออกหน่วย

– โรงพยาบาลฝาง อ.ฝาง จ. เชียงใหม่
– โรงพยาบาลยุพราช ท่าบ่อ อ.ศรีเชียงใหม่ หนองคาย
– โรงพยาบาลหนองจอก อ.หนองจอก กรุงเทพฯ
– โรงพยาบาลยุพราช อ. เดชอุดม อุบลราชธานี

ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ – ทาสของแผ่นดิน

อุดมการณ์ ของคนทุกคนย่อมแตกต่างกันไป แต่มีอุดมการณ์ของผู้ชายคนหนึ่งที่เลือกแล้วที่จะทิ้งธุรกิจหลายสิบล้านของ ตัวเอง เพื่ออุทิศชีวิตทำงานเพื่อสังคม อุทิศชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนไทยทั่วประเทศ เพราะเขาปวารณาตัวแล้วว่า จะเป็นข้าทาสของแผ่นดิน มีนายเพียงคนเดียวคือ พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย

เขา ผู้นั้นคือ ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ผู้ชายที่หาเงินได้หลายสิบล้านด้วยธุรกิจส่งออก แต่ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และแผ่นดินที่ตัวเองเกิด รวมถึงจุดเปลี่ยนที่เคยเฉียดตายมาแล้วจากการถูกลอบยิงที่ศีรษะ พอลุกขึ้นมาได้เขาก็ทำโรงพยาบาลบ้านแพ้ว ฟอกไตฟรีให้กับประชาชนคนไทยทั่วประเทศ โดยใช้เงินของเขาเองทุกบาททุกสตางค์

‘ชีวิต ของผมตั้งใจเดินตามพระยุคลบาทขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เดินผิดไม่คิดจนตัวตาย มีแต่ความเจริญทั้งนั้น ไม่เจริญกับเรา ก็เจริญกับประเทศชาติ เจริญกับประชาชนผู้ยากจน เจริญกับวงศาคณาญาติหรือครอบครัวของเรา เพราะว่าเดินตามพระองค์ท่าน ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตไม่โกงกินแผ่นดิน และต้องไม่โกงกินผู้อื่น และต้องทำงานด้วยความเต็มใจทำ แล้วก็ต้องรักแผ่นดินให้อยู่เหนือตัวเราเอง เค้าจะเรียกว่าทาสของแผ่นดิน

‘รพ.บ้าน แพ้ว เป็นของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน ไม่ใช่ของเอกชน ประชาชนทุกคนต้องมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นของประชาชนได้ ถ้าคนยากคนจนติดต่อมารักษาฟรีหมดเลย ค่ารถค่าเดินทางก็ฟรี เราจะดูแลทุกอย่างให้อย่างดี ไกลที่สุดที่เคยมาอยู่ที่เชียงของ โดยที่เราไปรับมา คุณจะอยู่ที่ตรงไหน เราจะไปรับคุณที่ตรงนั้น ยะลา นราธิวาส ปัตตานี ผ่ามาหมด ทำให้เสร็จ’

หลายคนมองว่าเขาติ๊งต๊อง แต่เขาทำด้วยใจจริงๆ แล้วไม่ยอมรับเงินบริจาคของใครด้วย โดยเขาบอกว่าหากใครจะเอาเงินมาช่วยทำ ก็เอาเงินจำนวนนั้นไปช่วยเหลือประชาชนได้เลย

เรื่องราวชีวิต มุมมองความคิดของเขาผู้นี้ได้ถูกถ่ายทอดออกอากาศในรายการ ‘เจาะใจ’ เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน 2551 ทางช่อง 5 ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ ทาสของแผ่นดิน

http://www.jsl.co.th/minisite/index.php?tv=0006&sec=hilight&hilight=3909

Share

อากาศร้อน..กินอย่างไร..ไม่ให้ร้อน

หน้าร้อนปีนี้ มาเยือนเร็วกว่าที่ เคยนะคะ สภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้หลายคนเกิดอาการเบื่ออาหาร อากาศร้อนยังทำให้อารมณ์เสีย หงุดหงิดได้ง่ายอีกด้วย การเลือกรับประทานอาหารให้ดี นอกจากจะช่วยคลายร้อนแล้ว ยังช่วยให้อารมณ์เย็นขึ้นได้อีกด้วย

หลายคนใช้วิธีดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ หรือรับประทานไอศกรีม ซึ่งจะช่วยแก้กระหายคลายร้อนได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่จะไม่ช่วยให้ร่างกายเย็นลงจากสภาพอากาศร้อนรอบๆ ตัวได้ ทางที่ดีควรอาบน้ำให้เย็นชื่นใจหรือรับประทานอาหารที่ช่วยให้ร่างกายระบาย เหงื่อได้โดยตรง

อาหารประเภทเนื้อสัตว์และไขมัน เป็นอาหารที่ต้องใช้พลังงานในการย่อยและการนำไปใช้สูงกว่าผักและผลไม้ การที่ทางเดินอาหารทำงานหนัก จะเกิดความร้อนขึ้นในร่างกาย อาหารประเภทเนื้อและไขมัน รวมถึงอาหารทอด จึงเป็นอาหารที่รับประทานแล้วจะเกิดอาการแน่นท้อง อึดอัด ย่อยยาก ทำให้รู้สึกร้อนมากขึ้น ไม่ควรรับประทานมากในหน้าร้อน

ส่วน อาหารที่ไม่สร้างความร้อนเพิ่มขึ้น คือ ผักและผลไม้ที่ไม่มีแป้งมาก ดังนั้น จึงควรเน้นรับประทานผักและผลไม้เป็นหลักมากกว่าอาหารจำพวกแป้งและเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้พลังงานมากเกินความจำเป็นหากรับประทานมากเกินไป

พืชผักที่เหมาะจะรับประทานในหน้าร้อน ยกตัวอย่างเช่น
– มะระ เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย แก้ร้อนใน
– ฟักเขียว มีฤทธิ์เย็น คนจีนนิยมทำเป็นยาถอนพิษ ขับร้อนใน
– ผักกาดขาว ช่วยแก้อาการร้อนในได้
– ปวยเล้ง เป็นยาเย็น ช่วยขับร้อน แก้กระหาย
– ถั่วเขียว มีฤทธิ์ขับร้อนใน แก้กระหาย ขับปัสสาวะ

นอกจากนี้ เครื่อง เทศ ซึ่งมีสรรพคุณเป็นทั้งอาหารและเป็นยา ก็ยังช่วยคลายร้อนได้โดยอาศัยความเผ็ดร้อนของเครื่องเทศ การกินเผ็ดทำให้มีเหงื่อออก เป็นการระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งจะช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย หลายประเทศในแถบร้อนจึงรับประทานอาหารรสเผ็ด เช่น แกงเผ็ด ผัดเผ็ดต่างๆ

ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ รับประทานทีละน้อย แต่รับประทานบ่อยๆ เมนู ที่นอกจากจะกินอร่อย ได้ประโยชน์ และยังช่วยคลายร้อนได้ ได้แก่ แกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ ต้มโคล้ง ยำต่างๆ น้ำพริกผักจิ้ม ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ส่วนของหวานก็ได้แก่ น้ำแข็งใส เฉาก๊วย ผลไม้ลอยแก้ว เลือกที่ไม่ใส่กะทิ

อากาศร้อนๆ คงไม่มีใครอยากดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ กันเท่าไรนัก แต่การดื่มเครื่องดื่มร้อน อย่างเช่น ชาร้อน จะทำให้เหงื่อออก ซึ่งเมื่อเหงื่อระเหย จะทำให้เกิดความเย็น แต่ก็ไม่ควรดื่มมากเกินไป เพราะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ จะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ยังมีน้ำสมุนไพรที่มีสรรพคุณคลายร้อน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ เช่น
– ใบบัวบก แตงโม ใบเตย ใบสะระแหน่ ช่วยดับกระหายและคลายความร้อนในร่างกาย
– น้ำตะไคร้ ช่วยขับเหงื่อ
– น้ำกระเจี๊ยบ ช่วยรักษาอาการร้อนในภายในช่องปาก
– น้ำมะนาว ช่วยให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า และขับเสมหะ
– น้ำมะพร้าว ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย
– น้ำมะตูม เป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มในหน้าร้อนมาแต่โบราณ เพราะนอกจากจะมีกลิ่นหอมชื่นใจ ช่วยแก้กระหายได้แล้ว ยังมีสรรพคุณในการทำลายเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง
– น้ำยาอุทัย เหยาะใส่น้ำเย็น ดื่มแล้วชื่นใจ มีสรรพคุณเช่นเดียวกับน้ำมะตูม

นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่ช่วยย่อยอาหาร ขับลม แก้อาการแน่น จุก เสียด ได้อีกด้วย หากไม่ชอบน้ำสมุนไพร อาจเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้คั้นสดๆ ไม่ใส่น้ำตาลและเกลือ หรือใส่แต่น้อย ก็จะช่วยแก้กระหายคลายร้อนได้เช่นกัน

สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องทำงานท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัดหรือออกกำลัง กายกลางแจ้ง ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร หรือประมาณ 4-6 แก้ว แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม แต่อย่าดื่มมากไปจนกระทั่งเกิดอาการจุก และควรดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้องอย่างน้อย 1-2 แก้ว เมื่อต้องออกจากบ้านในวันที่อากาศร้อนจัด

โดย เอมอร คชเสนี Manager Online

Share

สมดุลแห่งชีวิต

“เต๋าที่อธิบายได้นั้น มิใช่เต๋าที่แท้จริง”
ขยายความได้ว่า เต๋าอธิบายไม่ได้ เต๋าไม่มีตัวตน เต๋ามีก่อนสิ่งอื่นๆ
มีก่อนจักรวาลจะเกิด เต๋าว่างเปล่า!

ถ้าเต๋าอธิบายได้ว่าเต๋าคืออะไร แปลว่าเต๋าจะถูกจำกัดความว่ามีแค่นั้น
เต๋า คือ ทุกสิ่ง แปลว่ามันคือทุกสิ่ง
เต๋า คือ จักรวาล แปลว่าเต๋าคือจักรวาล
เต๋า คือ ธรรมชาติ แปลว่าเต๋าคือธรรมชาติ

หากลองแทนคำว่าเต๋าเป็นคำว่าธรรมหรือนิพพาน ก็จะได้ประโยคเหมือนกัน

หากจะอธิบายให้เข้าใจแบบคนปัจจุบันที่ยังลุ่มหลงแบบเราๆ ท่านๆ
รักที่อธิบายได้นั้น มิใช่ รักที่แท้จริง
ขยายความได้ว่า รักอธิบายไม่ได้ รักมันไม่มีตัวตน

ถ้ารักอธิบายได้ว่ารักคืออะไร แปลว่ารักจะถูกจำกัดว่ามีแค่นั้น
รัก คือ ความคิดถึง แปลว่ามันคือความคิดถึง
รัก คือ ความ คิดถึงและห่วงใย แปลว่ามันคือคิดถึงและห่วงใย
รัก คือ รู้สึกดีต่อกัน แปลว่ามันคือความรู้สึกดีต่อกัน

ขยายความแบบนี้น่าจะเข้าใจกันได้ง่ายดีนะครับ 😀

ในโลกเราตอนนี้มองแต่ด้วยตาของบุคคลผู้รู้จักแต่วัตถุนิยม
เรารู้จักแต่วัตถุด้วย แล้วก็รู้จักแต่จะนิยมวัตถุด้วย
เป็นความรับรู้แบบหยาบๆ ที่ไม่เข้าถึงความลึกซึ้งของจิตวิญาณ
เหมือนเด็กอมมือที่รับรู้เท่าที่ตัวเองเห็นและฟัง

เพราะเราถูกสะสมเป็นความทรงจำในสมองผ่านการ ดู ฟัง ดม กิน สัมผัส
ว่าสิ่งนี้สวย ไพเราะ หอม อร่อย นุ่ม

เท่านี้ไม่พอ เรายังถูกผู้มีอำนาจเหนือกว่า กำหนดสิ่งต่างๆ ด้วยชื่อ
เช่น เสียงแบบนี้เรียกว่าเพลงโอเปร่า รสชาติแบบนี้เรียกว่าพิซซ่า หน้าตาแบบนี้เรียกว่าผู้หญิง

และเราก็ถูกกำหนดต่อในชั้นที่สามว่า เพลงแบบนี้เพราะ แบบนี้ไม่เพราะ
รสชาติแบบนี้อร่อย แบบนี้ไม่อร่อย หน้าตาแบบนี้สวย แบบนี้ไม่สวย

เราเจอการกำหนดสิ่งหนึ่งถึงสามชั้น!
ไม่แปลก ที่เราจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าที่แท้แล้วสิ่งนั้นคืออะไร

แ่ต่ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ล้วนแต่เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น
หน้าต่าง ที่ทำจากโลหะ เกิดจากเหล็ก มาจากดิน
เตียง เกิดจากไม้ มาจากดิน มาจากน้ำ
เรา เกิดจากแม่ มาจากอสุจิพ่อ มาจากเลือด มาจากอาหาร จากแร่ธาติ จากน้ำ
พลาสติก เกิดจากการสังเคราะห์ เกิดจากน้ำมัน เกิดจากซากสัตว์ เกิดจากเนื้อหนัง เกิดจากแม่ มาจากอสุจิพ่อ มาจากเลือด มาจากอาหาร จากแร่ธาติ จากน้ำ

ผมนั่งจับต้องลูบคลำประตู กระเบื้อง แขนขา เหมือนคนบ้าอยู่พักใหญ่ๆ
ก็เพิ่งมองภาพได้ชัดเจนว่า ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ มาจากธรรมชาติ
เพียงแต่ถูกแปรเปลี่ยนรูปร่างแตกต่างกันออกไป
สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันต้องแปรเปลี่ยนไปตามความสมดุลของธรรมชาติ
จนค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลายการแปรเปลี่ยนเราก็กำหนดไว้ว่า มันเรียกว่าการดับไปของสิ่งนั้น

ผมไม่แปลกใจแล้วหละ ว่าทำไม มหาบุรุษคนหนึ่งเมื่อ 2600 ปีก่อน นั่งใต้ต้นไม้และสามารถรู้ทุกอย่างในจักรวาล และมหาบุรุษนั้นเรามอบชื่อให้แก่ท่าน เพื่อให้เข้าใจเหมือนกันทั้งโลกว่า “พระพุทธเจ้า”
พระพุทธเจ้า ไม่รู้หรอกว่าโลกเราอยู่บนกลุ่มดาว ที่คนปัจจุบันกำหนดเรียกมันว่า ทางช้างเผือก
พระพุทธเจ้า ไม่รู้หรอกว่า กลุ่มดาวที่เราอยู่ อยู่ในกลุ่มดาวกว้างใหญ่มหาศาล ที่คนปัจจุบันกำหนดเรียกว่า จักรวาล
ผมเชื่อว่า พระพุทธเจ้า พระองค์รู้จักสิ่งที่ไม่มีอันสิ้นสุดเกินจักรวาลออกไป ได้จากภายในตัวของท่านเอง

เพราะตัวของเราเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นต้นไม้ มดเป็นธณรมชาติ จักรวาลเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นจักรวาล
ว่าแต่ แล้วอะไรล่ะที่ใหญ่ไปกว่าจักรวาล ผมไม่สามารถบอกได้ ใครก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะปัญญามนุษย์ยังสำรวจไม่พบ
จึงไม่ีใครตั้งชื่อ หรืออาจจะมีตั้งชื่อ แต่ผมไม่รู้

แต่ไม่ว่าจะชื่ออะไร สิ่งๆ นั้น ไม่มีตัวตน อธิบายไม่ได้ มีก่อนสิ่งอื่นๆ มีก่อนจักรวาลจะเกิด และว่างเปล่า!

ดังนั้นสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากจุดเดียวกัน แปรเปลี่ยนรูปร่างต่างกันไป
สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ เพราะมันต้องแปรเปลี่ยนไปตามความสมดุลของธรรมชาติ
จนค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลายการแปรเปลี่ยนเราก็กำหนดไว้ว่า มันเรียกว่าการดับไปของสิ่งนั้น

ถ้าสรุปแบบธรรมะผสมเต๋า ก่อนหน้าทุกอย่างว่างเปล่าแล้วจึงเกิดขึ้น ตั้งอยู่และแปรเปลี่ยนจนมันดับไปเป็นว่างเปล่าอีกครั้ง

ดังนั้น หากเข้าใจแนวทางการรักษาสมดุลของธรรมชาติ
ก็จะเข้าใจ แนวทางการรักษาสมดุลของร่างกาย
และจะเข้าใจแนวทางการรักษาสมดุลของสิ่งต่างๆ
เพราะธรรมชาติและร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสิ่งเดียวกัน
คอยสนับสนุนหักล้างซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ความว่างเริ่มมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาทดแทน

ถ้าเปรียบเทียบสัตว์ หมายังมีความสมดุลเป็นธรรมชาติมากกว่ามนุษย์เสียอีก..
เช่น รูปแบบ (pattern) ของหมา ถูกกำหนดมาว่า นอนเพราะเหนื่อย กินเพราะหิว ถึงฤดูจึงผสมพันธุ์ ดุร้ายเมื่อต้องป้องกันตัว

แต่มนุษย์มีความคิด ที่หลากหลายไม่จำกัดเหมือนหมา รูปแบบจึงซับซ้อนกว่า และหลดจากความเป็นสมดุลได้
เช่น อาจจะนอนเพราะเหนื่อย ขี้เกียจ ไม่มีอะไรทำฯลฯ กินเพราะหิว อยาก ลองฯลฯ ดุร้ายเพราะป้องกันตัว อันทพาล หาเรื่อง ไม่มีอะไรทำฯลฯ

แล้วกระนั้น ความซับซ้อนใน รูปแบบ (pattern ) ดังกล่าวของมนุษย์ ถูกกำหนดลงไปอีกมากมาย เช่น
ถูกศาสนากำหนดว่า ดีหรือชั่ว อันนี้ก็แล้วแต่คำสอนของศาสนานั้นๆ
ถูกกำหนดด้วยกฏหมายว่า ถูกหรือผิด อันนี้ก็แล้วแต่สังคมแวดล้อมของคนๆ นั้นอยู่
ถูกประเพณีกำหนด ถูกพ่อแม่กำหนด ถูกเพื่อนกำหนด ต่างๆนานาๆ

เลยทำให้ความเป็นมนุษย์มากมายหลากหลายรูปแบบ โชคร้ายก็สูญเสียความสมดุลอันเป็นธรรมชาติไป โชคดีก็ได้พบแนวทางค้นหาความเป็นสมดุลอันเป็นธรรมชาติ

เพียงเพราะเราถูกกำหนดมันจากภายนอก แล้วเราก็ไปหลงสิ่งภายนอก แถมยกย่องสิ่งภายนอกตัวเราอีกต่างหาก
โดยที่เราไม่ได้มองกลับเข้ามาหาตัวเองว่า ความสุขอยู่ที่เรา ความทุกข์อยู่ที่เรา ความใคร่อยู่ที่เรา ความอยาก สมดุลอยู่ที่เรา
เพียงแค่เราเฝ้ามองตัวเอง นั่งฟังสิ่งที่ตนเองเรียกร้องเงียบๆ โดยปราศจากความคิดไปเอง ความฟุ้งซ่าน แล้วผมเชื่อว่าเราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าความสมดุลอันเป็นธรรมชาติ ความเป็นธรรมะ ความเป็นเต๋า จักรวาล ชีวิต มันเป็นอย่างไร

สิ่งที่ผมเขียนมา ผมอยากจะบันทึกไว้เตือนตัวเอง และเป็นข้อคิดให้แก่ทุกๆ ท่าน ไม่ได้ต้องการเขียนให้สวยหรู แต่ต้องการบันทึกเพื่อให้ตัวเองกลับมาอ่านอีกครั้ง และรู้สึกเกิดปัญญาเข้าใจอีกครั้ง ในอนาคตที่อาจจะมีโอกาสหลงผิด และเสียสมดุล

หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจนะครับ 😀

ขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านพุทธทาส ที่ทำให้เกิดปัญญาเพียงแค่อ่านได้ 47 หน้า ผ่านหนังสือ “สรรนิพนธ์ พุทธทาส ว่าด้วย เต๋า”

ปล1. สังเกตุว่า หลายๆ เนื้อหาเขียนใช้ข้อความซ้ำ เพราะมันคือสิ่งเดียวกัน
ปล2. สังเกตุว่า ตอนต้นและตอนจบ เหมือนกัน เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน
ปล3. สังเกตุว่า แนวคิดเหมือนกันหมดแต่เขียนหลายแบบ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกัน
ปล4. แม้กระทั้ง ปล. 1 ถึง ปล.3 มันก็ยังเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่สามารถแยกกันได้
ปล5. สรุปความเป็น บล็อกนี้ได้จาก บทความนี้

Share