Category Archives: สุขภาพ

HYPOGLYCEMIA ปัญหาเรื่องระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ การป้องกัน

HYPOGLYCEMIA หรือ น้ำตาลในเลือดต่ำ

HYPO แปลว่าต่ำ GLYCEMIA หมายถึงน้ำตาล คำแปลตรงๆ ก็คือ น้ำตาลในเลือดต่ำ

มันเป็นโรคซึ่งหาสาเหตุไม่ได้ และมันไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่เมื่อคุณป่วยด้วยโรคนี้ มันจะเป็นสาเหตุ ที่
ทำให้คุณป่วยเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ ต่อไปได้
เป็นโรคซึ่งเกิดขึ้นใหม่ เกิดขึ้นในยุคของคนสมัยใหม่ ในอเมริกาและยุโรป และขณะนี้ก็เกิดขึ้นกับคนไทย
ยุคใหม่ของเราแทบทุกคน

อาการของมันก็คือ อาการเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้ ผสมกับการนอนไม่หลับ ปวดเนื้อปวดตัว และระบบ
ขับถ่ายผิดเพี้ยนไปหมดนี่เป็นอาการรวมอย่างกว้างๆ นะครับ

ขอพูดถึงอาการเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้เสียก่อน การเพลียโดยปรกตินั้นเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน คุณตื่นเช้า
ขึ้นมีเรี่ยวมีแรง พอตอนสายคุณต้องไปทำงานหนัก เป็นต้นว่าต้องเดินขึ้นเขา แบกของหนักเหงื่อไคลไหลย้อย
พอแบกของไปถึงที่ คุณก็หมดแรง นั่งพักนอนพักทั้งคืน รุ่งขึ้นจึงจะมีเรี่ยวแรงทำงานต่อไปได้

นี่คือการเหนื่อยการเพลียตามปรกติ คือ ข้อที่หนึ่ง คุณตื่นขึ้นมามีเรี่ยวมีแรง ข้อที่สอง คุณออกแรงทำงาน
หนักเหงื่อไหลไคลย้อย ข้อที่สาม คุณเหนื่อยแล้วคุณก็พัก ข้อที่สี่ เมื่อคุณได้นั่งพัก หรือนอนพักแล้วรุ่งขึ้น
คุณก็มีแรงตามปรกติ

แต่การเหนื่อยเพลีย แบบ HYPOGLYCEMIA ไม่เป็นอย่างนั้นคุณนอนตื่นขึ้นมา คุณก็เพลียเสียก่อนแล้ว
คุณรู้สึกว่าคุณนอนไม่หลับสนิท ตอนเช้าตื่นขึ้นมารู้สึกเหมือนโงหัวไม่ขึ้น อยากลุกขึ้นมา แต่ก็ลุกไม่ไหว
อยากนอนต่อ

พอลุกขึ้นมาได้ แล้วล้างหน้าล้างตาอาบน้ำแล้ว ก็ยังรู้สึกเพลียอีกนั่นแหละ รู้สึกจิตใจมัวซัวไปทำงาน หรือ
จะทำอะไรก็ไม่มีชีวิตชีวา มิหนำซ้ำยังปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว และอาการเพลียไม่มีแรงของคุณ จะเป็นซ้ำๆ
ซากๆ อย่างนี้ทุกๆ วัน

นี่คือการเหนื่อยเพลียแบบ HYPOGLYCEMIA ซึ่งเป็นการเหนื่อยเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้ และก็จะ
หาสาเหตุไม่ได้แน่นอน ถ้าเผื่อผู้ที่ป่วยจะไปหาหมอตามโรงพยาบาล หรือคลินิก เมื่อใช้เครื่อง มือตรวจ
ทุกอย่าง ตรวจเลือด เอกซเรย์ หรือทำสะแกนจนครบถ้วน ผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็นปรกติ เครื่องมือต่างๆ
ก็จะไม่พบอะไรที่มันผิดปรกติ และแพทย์หลายคนก็อาจจะลงความเห็นว่า ผู้ป่วยนั้นเป็นโรคอุปาทาน
หรือโรคประสาทไปเลย

เมื่อประมาณ 40 ปีก่อนโน้น นายแพทย์ผู้หนึ่งของอเมริกา คือ สตีเฟน ไกแลนด์ ได้พบว่า เขาป่วยเป็นโรค
อ่อนเพลียโดยหาสาเหตุไม่ได้ นอกจากนั้น เขานอนไม่หลับ และปวดเนื้อปวดตัวอยู่ตลอดเวลา อาการป่วยของเขานั้น ทำให้เขารู้สึกเบื่อไปหมดทุกอย่าง เบื่อจนกระทั่งคิดอยากจะฆ่าตัวตาย

เขาไปหาแพทย์หลายคน เป็นเพื่อนกันก็มี เป็นผู้เชี่ยวชาญทางสมอง และเชี่ยวชาญโรคอื่นๆ หลายโรค
แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาเป็นอะไร บางคนบอกว่าอาจจะเป็นเนื้องอกในสมอง แนะนำให้ผ่าตัดสมอง
บางคนบอกว่า เป็นโรคเกี่ยวกับต่อมบางอย่างไม่ทำงาน แต่หลายๆ คนบอกว่าเขาเป็นโรคอุปาทาน และเป็น
โรคประสาท และไม่มีใครรักษาเขาได้เลย

เขาตกลงใจว่า เขาจะต้องรักษาตัวเองให้ได้ ขั้นแรกที่สุด เขาพยายามไปค้นคว้ารายงานแพทย์ต่างๆ ที่
รายงานถึงเรื่องโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่มีใครค้นพบ เขาค้นรายงานใหม่ๆ ไม่พบว่ามีรายงานอันไหน ที่ตรง
กับอาการของเขาเลย

เขาจึงค้นย้อนต้นกลับไปอีกประมาณ 30 ปี ก็ได้พบรายงานของนายแพทย์รุ่นอาจารย์คนหนึ่ง คือ
นายแพทย์ซีล ฮาริส ได้พูดถึงอาการของน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือ HYPOGLYCEMIA จากการค้นคว้า
และรวบรวมอาการ จากคนไข้หลายๆ คน นายแพทย์ฮาริสได้สรุปว่า เป็นอาการของน้ำตาลในเลือดต่ำ

และอาการที่นายแพทย์ฮาริสรายงานไว้ทุกอาการนั้น ตรงกับอาการของนายแพทย์ไกแลนด์ทุกอย่าง
เขาสรุปได้ทันทีว่า ที่เขาป่วยอยู่ขณะนั้นก็คือ HYPOGLYCEMIA

และเขาก็เริ่มรักษาตัวเอง ด้วยการตรวจดูอาหารซึ่งเขาได้กิน ตามแฟชั่นสมัยนิยมขณะนั้น คืออาหารที่
หวาน ด้วยน้ำตาลขาวมากเกินไป และมีแต่แป้งขาวมากเกินไป (เช่น ขนมปังทำด้วยแป้งขาว และอาหาร
แทบทุกอย่าง ที่ทำจากแป้งขาวและน้ำตาลขาว)

เขาแก้ในเรื่องอาหารก่อน คือเลิกพวกแป้งขาวและน้ำตาลขาว แล้วหันมากินอาหารทุกอย่าง ที่เป็นอาหาร
ไม่ได้ขัดสีออก และกินอาหารประเภทผัก ผักสด และหลังจากนั้นก็แก้ในเรื่องชีวิตประจำวัน และในเรื่อง
ความเครียด

เขาได้ปรับปรุงเรื่องชีวิตประจำวัน ให้พ้นจากวิถีของชีวิตคนสมัยใหม่ ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย และใน
ไม่ช้าเขาก็หายขาดจากโรค ซึ่งป่วยมากว่าสิบปี

ต่อจากนั้นนายแพทย์ไกแลนด์ ได้ทำรายงานเสนอในวารสารการแพทย์หลายแห่ง ปรากฏว่ามีผู้ป่วยเช่น
เดียวกันมากมาย รวมทั้งผู้ที่เป็นแพทย์ด้วย

นายแพทย์ไกแลนด์ และกลุ่มแพทย์อีกหลายคนได้ศึกษา HYPOGLYCEMIA อย่างจริงจัง ได้ทำ
รายงานและได้ร่างสูตรของ HYPOGLYCEMIA ไว้อย่างถูกต้อง ตามหลักการแพทย์ทุกประการ
จนเป็นที่ยอมรับของวงการแพทย์อเมริกัน และได้มีการศึกษาเรื่องผู้ป่วยด้วยโรคนี้

ปรากฏว่าในสหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้วมามีผู้ป่วยด้วยโรคนี้ถึง 20 ล้านคน และแพทย์กลุ่มนี้
ได้ระบุอาการละเอียดต่างๆ ของโรคนี้ มีอยู่ด้วยกัน 40 อาการ (ท่านผู้อ่าน กรุณาเก็บอาการที่จะพูดถึง
นี้ไว้ด้วย เพราะเราจะพูดถึงกันโดยละเอียดในตอนต่อไป)

อาการโดยละเอียดคือ

1. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 2. รู้สึกเบื่อหน่าย -ซึมเศร้า 3. นอนไม่หลับ
4. มีอาการทางประสาท 5. เวียนหัว-ปวดหัว 6. เหงื่อแตกบ่อยๆ
7. มือสั่น 8. หัวใจเต้นผิดปรกติ 9. ปวดกล้ามเนื้อปวดหลัง
10. เบื่ออาหาร 11. จิตใจฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ 12. เนื้อตัวชาเป็นบางครั้ง
13. ท้องอืด ท้องขึ้น 14. มือเย็น เท้าเย็น 15. รู้สึกสับสนปั่นป่วน
16. เป็นตะคริวบ่อย 17. เบื่อการพบปะผู้คน 18. อ้วน น้ำหนักเกิน
19. การทรงตัวไม่ดี 20. อยากฆ่าตัวตาย 21. เกิดการชักกระตุก
22. เป็นลมบ่อยๆ 23. ความจำเสื่อม 24. วิตกกังวลง่าย
25. หิวอย่างรุนแรง ก่อนถึงเวลา 26. ลังเลตัดสินใจไม่ได้ 27. อยากกินของหวานๆ
28. กามตายด้าน 29. มีอาการภูมิแพ้ 30. การประสานงาน ส่วนต่างๆ ของร่างกายเลวลง
31. คันตามผิวหนัง 32. หายใจไม่ออกบ่อยๆ 33. ฝันร้ายบ่อยๆ
34. ปากแห้ง-คอแห้ง 35. ลมหายใจ และปากมีกลิ่นแปลกๆ 36. โมโหร้าย
37. ถ่ายอุจจาระผิดปรกติ 38. ถ่ายปัสสาวะผิดปรกติ 39. หน้าร้อนผ่าวบ่อยๆ
40. ทนเสียงอึกทึก-แสงจ้าๆ ไม่ได้.

นายแพทย์เจคอบ ไตเทิ้ลบอม จากแอนนาโปลีส มารี่แลนด์ เป็นแพทย์อีกคนหนึ่งที่ป่วยด้วยอาการ
HYPOGLYCEMIA หรือนํ้าตาลในเลือดตํ่า เขาโชคดีกว่านายแพทย์ไกแลนด์ เพราะขณะที่เขาป่วย
นั้นโรคนี้เป็นที่รู้จักกันดีแล้ว แต่กระนั้นก็ตามที แม้จะรู้วิธีรักษา แต่ก็ต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งปีกว่าจะ
รักษาโรคของเขาให้หายได้

นั่นก็เพราะเขาเกิดในสมัยหลัง นายแพทย์ไกแลนด์ ชีวิตความเป็นอยู่ของคนรุ่นหลังอย่างไตเทิ้ลบอม
กลายเป็นชีวิตของคนสมัยใหม่เต็มตัว วัตถุนิยมกลายเป็นเป้าหมายในการดำรงชีวิตการแก่งแย่งชิงดี
ความรีบร้อน และยุ่งเหยิงในชีวิตประจำวัน ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความเครียดและบีบคั้นโรคนํ้าตาล
ในเลือดตํ่า จากการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ และปวดเนื้อปวดตัว ได้กลายเป็นโรคที่สลับซับซ้อนและมีอาการ
แปลกๆ มากมายถึง 40 อาการ ดังที่ได้ระบุไว้แล้วตามหัวข้อข้างต้น

แต่ความแตกต่างระหว่างอาการของโรคอื่นๆ และจาก HYPOGLYCEMIA นี้มีต่างกันอยู่อย่างหนึ่ง
คืออาการจากโรคอื่นๆ นั้นเรารู้สาเหตุ แต่อาการอย่างเดียวกันซึ่งเกิดจาก HYPOGLYCEMIAนั้น
เราจะหาสาเหตุไม่ได้

อย่างเช่น อาการหัวใจเต้นผิดปรกติของบางคนนั้น เมื่อตรวจดูอย่างละเอียดแล้วเราจะรู้ว่าสาเหตุมาจาก
โรคหัวใจ แต่หัวใจเต้นผิดปรกติของ HYPOGLYCEMIA ตรวจดูเท่าไหร่ ละเอียดเท่าไหร่ก็จะหา
สาเหตุไม่ได้
โดยเหตุนี้แหละ เมื่อไปหาแพทย์หลายคน ซึ่งมักจะได้รับคำตอบว่า “ตรวจร่างกายละเอียดแล้วคุณสมบูรณ์
ทุกอย่างคุณคงจะเป็นโรคอุปาทานมากกว่า” นายแพทย์ไตเทิ้ลบอม คงจะเข้าใจความรู้สึกของคนไข้เป็น
อย่างดี เขาจึงเตือนเพื่อนนายแพทย์ด้วยกันว่าอย่าด่วนตัดสินใจว่าคนไข้เป็นโรคอุปาทาน จนกว่าคุณจะได้
ทดสอบคนไข้ด้วย G.T.T.หรือ GLUCOSE TOLERANCE TEST เพราะการตรวจเช่นนี้ ถ้าพบว่า
นํ้าตาลในเลือดขึ้นๆลงๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อทำเป็นกราฟก็จะเห็นว่า เส้นกราฟของนํ้าตาลในเลือดขึ้นลง
เป็นรูปภูเขาแล้วคนไข้ก็เป็นโรค HYPOGLYCEMIA แน่

แสดงว่าจะรู้แน่นอนว่าเป็น HYPOGLYCEMIA แน่นอนก็ต้องเจาะเลือดดูติดต่อกันเกือบทั้งวันจึงจะ
รู้แน่ว่าเป็น HYPOGLYCEMIA หรือจะเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า CHRONIC
FATIGUESYNDROME หรือ CFS ก็ได้

การเหนื่อย เพลียแบบ HYPOGLYCEMIA นี้ ไม่มีสาเหตุ คุณไม่ได้ไปออกแรงไม่ได้วิ่ง ไม่ได้ทำงานหนัก
แต่คุณก็เหนื่อยเปลี้ยเพลียแรงอยู่ตลอดเวลา ตื่นเช้าขึ้นมาทั้งๆ ที่ได้นอนมาแล้ว 7-8 ชั่วโมง แต่คุณก็ไม่มีแรง
ลุกไม่ได้ คุณกินอาหารบำรุงก็แล้วฉีดยาบำรุงกี่เข็มต่อกี่เข็มก็แล้ว แต่คุณก็ยังไม่มีแรงอยู่นั่นเอง

นี่คือความแตกต่างของการเหนื่อย การเพลียอย่างมีสาเหตุ และอย่างไม่มีสาเหตุซึ่งเป็นเพราะ
HYPOGLYCEMIA

มาถึงการนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นอาการสำคัญอีกอย่างหนึ่งของ HYPOGLYCEMIA ซึ่งถ้าพยายาม
หาสาเหตุเพียงไร ก็จะหาไม่พบและทำให้งงงันอยู่ตลอดเวลา
ปรกติถ้าคนที่ไม่เป็นอะไร ทำงานหนักๆ หรือออกแรงมากๆ เขาก็จะง่วงนอน เมื่อนอนก็หลับทันทีและ
เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะมีแรง

แต่การนอนไม่หลับของ HYPOGLYCEMIA นั้น แรกๆ
เจ้าตัวอาจจะนึกว่าตัวนอนหลับสนิทแต่ในไม่ช้าเขาจะรู้ตัวว่า เขาตื่นขึ้นคืนหนึ่งๆ หลายครั้ง และบางครั้ง
เขาจะต้องเข้าห้องนํ้าถ่ายปัสสาวะคืนหนึ่งหลายๆ ครั้ง เมื่อเขานอนต่อไปจนถึงรุ่งเช้า ถึงเวลาไปทำงาน
เขาจะลุกไม่ไหวยิ่งแข็งใจตื่นมากเท่าไหร่ เขาก็จะงัวเงีย และหมดแรงมากเท่านั้น

ไปหาหมอเพื่อหาสาเหตุว่า เขานอนไม่หลับเพราะอะไร ก็จะหาสาเหตุไม่เจอ และเมื่อแพทย์พยายามช่วย
เขาด้วยการจ่ายยานอนหลับให้ เขาก็จะพบว่าอาการของเขากลับเลวร้ายไปใหญ่ เขาจะนอนหลับเหมือน
คนเมาคือ สมองของเขาจะมึนซึมเหมือนคนเมาเหล้า และถึงแม้จะหลับไปได้ แต่จะตื่นไม่ได้และอาการ
ของเขาก็จะเป็นมากขึ้น จนกลายเป็นโรคประสาทเรื้อรังไปเลย

อาการต่างๆ เหล่านี้ ผสมกันหลายอย่างก็จะต่อๆ ไปให้เกิดอาการแปลกๆ มากขึ้นอาการตอนแรกๆ ก็คือ
อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ปวดหลัง ปวดเอว ปวดตัว ปวดศีรษะ ระบบขับถ่ายทั้งหนักทั้งเบารวนเรไปหมด

และอาการต่างๆ ก็จะมากขึ้นจนถึง 40 อาการดังกล่าวมาแล้ว ที่สำคัญก็คือ ไม่ใช่อาการทางกายแต่อย่าง
เดียวแต่จะมีอาการทางจิตด้วย เขาจะรู้สึกเบื่อหน่าย ซึมเศร้า อาจจะถึงคิดฆ่าตัวตายก็มี

และนี่แหละ คือโรคที่นายแพทย์ฮาร์เวย์ รอสส์ เพื่อนคนหนึ่งของนายแพทย์ไกแลนด์กล่าวไว้ว่า “โรคนี้ไม่
ทำให้คุณตายหรอก แต่มันจะทำให้คุณอยากตาย”.

การรักษา
อาการ 40 อาการนั้น ค่อนข้างจะหนักหนาสาหัส เพราะดูๆ ไปแล้ว ไม่ว่าจะป่วยเป็นอะไรก็ตาม ดูเหมือน
อาการจะมาตรงกับ HYPOGLYCEMIA หรือ CFS. ไปเสียหมดสิ้น แล้วทำไมไม่บอกเสียสักทีว่า
รักษาอย่างไร

ผมบอกแล้วว่า ต้นเหตุเกิดจากการกินอาหารผิดๆ ก็ต้องแก้เรื่องอาหารเสียก่อน เรื่องการกินผิดๆ นั้น
ให้คำจำกัดความง่ายๆ ว่า เรากินตามใจปากมากเกินไป กินอาหารด้วยการติดความอร่อยมากเกินไป
กินอาหารเนื้อสัตว์มากเกินไป กินอาหารประเภทแป้งขาวมากเกินไป กินหวานเกินไป กินมันเกินไป
กินอาหารรสจัดมากเกินไป เหล่านี้เป็นต้น

วิธีแก้ง่ายๆ จึงได้แนะให้กินอาหารตามสูตรชีวจิต ซึ่งเป็นสูตรกลางๆ อย่างที่สุด และเมื่อลองกินอาหาร
ตามสูตรแล้ว ก็ต้องแก้อาการอื่นๆ ซึ่งยังหลงเหลืออยู่ต่อไป เรียกว่าต้องแก้ทั้งอาการภายนอก และอาการ
ภายในร่วมกันนั่นเอง

และก็อย่าลืมเรื่องชีวิตประจำวัน คือการปรับชีวิตประจำวันให้สมดุล พร้อมกันไปด้วย กิน นอน ทำงาน
พักผ่อน ออกกำลังกาย ต้องมีกิจกรรมให้ครบถ้วน จัดให้พอดีกับวิถีชีวิต จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้

และเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เรื่องของการคิดหรือวิธีคิด รู้จักคิดในทางบวก คิดในทางที่จะทำตัวเอง
ให้สบายใจ มีความรัก ความเมตตาให้แก่ตัวเอง แก่คนอื่น และเพื่อนร่วมโลก

ฟังดูแล้วเหมือนกับเอาเทศน์ หรือเทปของวัดวาอารามต่างๆ มาเปิดให้ฟัง แต่จริงๆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง
ชีวิตคนเราถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ หรือการแพทย์โดยตรง ก็ต้องมีเรื่องคุณธรรม หรือศีลธรรมเป็น
พื้นฐาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่บ้าน จะไปคลินิก ไปโรงพยาบาล ไปหาหมอวิเศษที่ไหน ถ้าแห่งนั้นหรือหมอคนนั้น
ขาดคุณธรรมหรือศีลธรรม โรคของคุณและอาการป่วยของคุณ ไม่มีวันหายหรอกครับ

เอาละครับ ก่อนที่จะลืมพูดส่วนสำคัญของอาหาร อีกส่วนหนึ่งคือ เรื่องแร่ธาตุ ผมขอพูดถึงความสำคัญ
ของแร่ธาตุ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวกับ HYPOGLYCEMIA โดยตรง และก็มีความสำคัญต่อการรักษา
HYPOGLYCEMIA หรือ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). เป็นพิเศษด้วย

แร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมีอยู่ 18 อย่าง คือ แคลเซียม คลอรีน โครเมียม โคบอลท์ ทองแดง ฟลูออรีน
ไอโอดีน แมกนีเซียม แมงกานีส โมลิบดีนัม ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม ซีเลเนียม โซเดียม กำมะถัน วานาเดียม
และสังกะสี

ในจำนวน 18 ตัวนี้ มีอยู่ 4 ตัว ซึ่งมีความสำคัญกับ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). เป็นพิเศษ
คือ โซเดียม แคลเซียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียม สี่ตัวนี้เราเรียกว่า กลุ่มเกลือคาร์บอนิค (CARBONIC
SALTS)

ขอย้อนกลับพูดถึงความสำคัญของ อาหารที่มีต่อชีวิตของเราว่า อาหารสร้างชีวิตของเรา และทำให้เรา
มีชีวิตเจริญเติบโตต่อไปได้ก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน อาหารก็สามารถเป็นเพชฌฆาตทำให้เราตายได้

โทษของอาหารก็คือ ถ้าเรากินอาหารผิดๆ อาหารนั้นก็จะกลายเป็นท็อกซิน (TOXIN) ทำลายสุขภาพและ
ชีวิตของเราได้

ท็อกซินเป็นพิษก็จริง แต่ไม่ใช่ยาพิษ มันเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาทางเคมี ซึ่งแล้วแต่การผสมหรือการบูด
(FERMENTATION) จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงไร และตกค้างอยู่ในร่างกายมากน้อยเพียงไรด้วย

ขอพูดถึงกระบวนการของการกิน ซึ่งก่อนที่เราจะกินมัน ก็เป็นอาหารปรกติธรรมดา เช่น หมู เห็ด เป็ด ไก่
ก่อนจะส่งเข้าปากเรา มันก็จะเป็นหมู เห็ด เป็ด ไก่ อยู่

แต่พอเข้าปากเราแล้ว มันก็จะเปลี่ยนแปลงทันที มันจะถูกเคี้ยวให้ละเอียดก่อน อาหารบางอย่างเมื่อถูกเคี้ยว
คลุกเคล้ากับน้ำลาย เช่น ข้าวจะเปลี่ยนเป็นแป้ง และน้ำตาลกลูโคส และอาหารอย่างอื่นเมื่อผ่านลงกระเพาะ
จะถูกย่อย และผ่านจากกระเพาะสู่ลำไส้เล็ก ก็จะถูกย่อยละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะโปรตีนและไขมัน

ต่อจากนั้น มันจึงจะถูกดูดซึมเข้ากระแสโลหิต และโลหิตก็จะไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกาย
ส่วนที่เหลือเป็นกากอาหาร ก็จะกลายเป็นอุจจาระ ขับถ่ายออกจากร่างกาย เป็นอันจบกระบวนการ
กระบวนการนี้เรียกว่า METABOLISM

ในระหว่างกลางของกระบวนการ METABOLISM นี้เอง ที่จะเกิดการสร้างท็อกซินหรือพิษขึ้นมา โดย
เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาหาร ซึ่งเราแยกออกเป็น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เมื่อย่อยครบถ้วน
กระบวนความแล้ว กลุ่มโปรตีนและไขมัน จะกลายเป็นกรดซิลเฟอริค และกรดฟอสฟอรัส กลุ่มคาร์โบไฮเดรต
จะกลายเป็นกรดอาซติค และกรดแลคติค

กรดซัลเฟอริค และกรดฟอสฟอริค เป็นกรดร้ายแรง ขนาดกัดเหล็กให้กร่อนได้ ส่วนกรดอาซติค หรือ
กรดน้ำส้ม และกรดแลคติค ก็มีความร้ายแรงเกือบจะพอๆ กัน

ความรุนแรงเช่นนี้ ถ้ายังคงอยู่ในร่างกายเรา อวัยวะสำคัญๆ ก็จะพังพินาศไม่มีชิ้นดี และเราก็คงตายไป
เสียนานแล้ว

เหตุการณ์เช่นนี้ ว่าที่จริงก็เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่ธรรมชาติก็คงไม่ต้องการให้เราตายง่ายๆ
เช่นนั้น จึงได้เตรียมแก้ความเป็นพิษไว้ให้เรา การแก้พิษนี้ ก็คือกลุ่มเกลือคาร์บอนิคนี้เอง

กลุ่มเกลือคาร์บอนิค จะเปลี่ยนกรดที่ร้ายแรงต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว ให้กลายเป็นกลางได้ และสารอาหารต่างๆ
ซึ่งจะกลายเป็นพิษร้ายแรงนั้น ก็กลับกลายเป็นสารอาหาร ที่เป็นประโยชน์ไปเลี้ยงร่างกายได้
นั่นคือการทำลายท็อกซินขั้นแรก

แต่การทำลายท็อกซิน ด้วยวิธีธรรมชาติของร่างกายนั้น ไม่สามารถจะทำร้ายท็อกซิน ได้หมดร้อยเปอร์เซ็นต์
ถ้ากลุ่มเกลือคาร์บอนิคซอลท์ของเรา ไม่เพียงพอ และจะยิ่งร้ายแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเรากินผิดๆ เช่น แป้ง
ขาวมากเกินไป เนื้อสัตว์มากเกินไป หวานมากเกินไป มันมากเกินไป เหล่านี้เป็นต้น

ด้วยเหตุการแก้อาการ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). ประการหนึ่งในหลายประการก็คือ
เติมกลุ่มเกลือคาร์บอนิคเข้าไปให้มากขึ้น
การเติมนี้ ผมเคยอธิบายให้ฟังไว้หลายครั้งแล้วว่า กลุ่มวิตามินและแร่ธาตุนั้น ก็คืออาหารและมีอยู่ใน
อาหารแล้ว แต่ในกรณีที่เราป่วย การจะกินอาหารที่มีแร่ธาตุอย่างนี้ แต่เพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ทันกาล
จึงควรกินชนิดอย่าง ที่สกัดออกมาอย่างเข้มข้น ทำเป็นเม็ดหรือแคปซูล จะช่วยทำให้อาการป่วยหายเร็วขึ้น

กลุ่มเกือบคาร์บอนิค ที่มีในอาหารนั้น มีดังนี้
โซเดียม มีอยู่ใน เกลือ หอย แครอท หัวบีท อาร์ติโช้ค เนื้อสัตว์
ประโยชน์ ของโซเดียม ช่วยขับถ่ายทางผิวหนัง (เหงื่อ) ช่วยให้การทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อ

แคลเซียม อาหารจากนม และผลิตผลจากนม ปลา และกระดูกปลา ถั่วต่างๆ วอลนัท เมล็ดทานตะวัน
ถั่วเหลือง ถั่วแดง ผักใบเขียว
ประโยชน์ สร้างกระดูก ฟัน เล็บ ช่วยการเต้นของหัวใจ ทำให้นอนหลับ ช่วยให้ธาตุเหล็กทำงานดีขึ้น
(สร้างเลือด) ช่วยระบบประสาท

โปแตสเซียม มีในพวกส้ม และผลไม้เปรี้ยว แคนตาลูป มะเขือเทศ แห้ว ผักใบเขียว เมล็ดทานตะวัน กล้วย
มัน (หัว)
ประโยชน์ ช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยแก้ภูมิแพ้ ช่วย
รักษาระดับน้ำตาลในเลือด

แมกนีเซียม มีในมะนาว ส้มโอ ข้าวโพด อัลมอนด์ ถั่วต่างๆ ผักเขียวแก่ แอปเปิ้ล
ประโยชน์ ช่วยแก้รู้สึกซึมเศร้า ช่วยระบบเลือดหัวใจ ช่วยฟันแข็งแรง ช่วยละลายแคลเซียมสะสม ช่วย
ในการย่อย

ถ้าหากมีอาการ Chronic Fatigue Syndrome (CFS). เมื่อใด ก็แสดงว่า กลุ่มเกลือคาร์บอนิค
ในอาหารของเรา มีไม่พอเพียง จะเพิ่มอาหารอีกก็จะแก้ไม่ทัน จึงแนะนำให้ใช้อย่างสกัดเป็นเม็ด หรือ
เป็น อาหารเสริมดังนี้ แคลเซียม 500 มก. โปแตสเซียม 100 มก. แมกนีเซียม 300 มก. (กินทุกวัน ประมาณ 2-3 อาทิตย์) โซเดียมไม่ต้องเติม เพราะคนไทยกินเค็มมากอยู่แล้ว.

ที่มา http://www.krabong.com/sara/m3-016.html

Share

น้ำสำคัญกับร่างกายอย่างไร

การแพทย์ไทยกล่าวไว้ว่า สรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลนี้ ประกอบด้วยธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟและอากาศ ถ้าขาดธาตุใดธาตุหนึ่งก็จะเสียสมดุล หรือธาตุหนึ่งธาตุใดพร่องหรือแกร่งเกินไปก็จะส่งผลให้เสียสมดุลเช่นเดียวกัน

ธาตุน้ำมี 12 ประการด้วยกันคือ

1.น้ำดี
2.เสลด
3.น้ำหนอง
4.เลือด
5.เหงื่อ
6.มันข้น
7.น้ำตา
8.มันเหลว
9.น้ำลาย
10.น้ำมูก
11.น้ำไขข้อ
12.น้ำปัสสาวะ

ส่วนศาสตร์การแพทย์จีนได้กำหนดไว้ในทฤษฎีปัญจธาตุ ซึ่งบอกไว้ว่าสรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลประกอบด้วยธาตุทั้ง 5 คือ ธาตุน้ำ,ธาตุไม้,ธาตุไฟ,ธาตุดิน, ธาตุทอง

และได้เปรียบเทียบไตและกระเพาะปัสสาวะอยู่ในธาตุน้ำคอยควบคุมการหมุนเวียนน้ำในร่างกาย ถ้าธาตุไม่สมดุลไตและกระเพาะปัสสาวะก็มีปัญหาและก็ลามไปสู่อวัยวะอื่นๆด้วย

จากประสบการณ์ในการรักษาคนไข้ของผม น้ำคือตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราเจ็บป่วย แต่ละคนดื่มกินน้ำที่แตกต่างกันไป มีทั้งน้ำธรรมดา น้ำเย็น น้ำร้อน น้ำชา น้ำอัดลม น้ำผลไม้ น้ำนม ผลที่ได้จากการดื่มน้ำนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป อีกทั้งจำนวนมาก-น้อย จังหวะเวลาในการดื่มน้ำก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการของโรคต่างๆได้
เราอาจเคยได้ยินเรื่องการดื่มน้ำ 5 แก้วเพื่อรักษาโรคหรือดื่มน้ำมากๆจะทำให้สุขภาพดี เราก็พากันดื่มน้ำกันยกใหญ่ ดื่มกันอย่างผิดๆเพราะไม่เข้าใจว่าควรดื่มน้ำเวลาใด ดื่มน้ำไปทานอาหารไปหมดน้ำไปเป็นลิตร ดื่มน้ำอัดลมบ้าง น้ำเย็นบ้าง ก่อนนอนก็ดื่มน้ำอีกลิตร เป็นวิธีดื่มน้ำที่ผิด ถ้าท่านดื่มน้ำแบบนี้มันก็จะทำให้ท่านท้องอืด ท้องเฟ้อ เกิดลมในกระเพาะหรือกลางคืนต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ 2-3 ครั้ง ไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี

ลองใช้วิธีที่ผมแนะนำให้คนไข้ของผมปฏิบัติเป็นประจำดูนะครับ
ซึ่งที่ผ่านมาคนไข้ที่ปฏิบัติดูแล้วได้ผลดีมาก เป็นเคล็ดลับการดื่มน้ำแบบง่ายๆที่ท่านสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ตามขั้นตอนดังนี้ครับ

ขั้นตอนที่ 1. ดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัว
ร่างกายคนเรานั้นต้องประกอบด้วยน้ำ 60-70% เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวเรา ตามสูตรที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเอาไว้ คนเราในแต่ละวันต้องดื่มน้ำให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักของตัวเอง วิธีคำนวณก็คือ

เท่ากับว่าถ้าท่านหนัก 60 กิโลกรัม ต้องดื่มน้ำให้ให้ประมาณ 1.9 ลิตรต่อวัน หรือ เกือบ 10 แก้วนั่นเองครับ

ทำไมต้องดื่มน้ำให้ได้ขนาดนั้น?
เพื่อความสมดุลของน้ำในร่างกาย เพราะร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 2 ใน 3 ส่วน ถ้าร่างกายขาดน้ำ ธาตุไฟก็จะโหมกระหน่ำ ธาตุลมก็กำเริบ ธาตุดินก็แห้งแตกระแหง
หรือจะดูกันง่ายๆ เลือดเรานั้นต้องประกอบด้วยน้ำกว่า 60 % ถ้าขาดน้ำเลือดก็จะข้นหนืด ทำให้เลือดมันไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกายลำบาก หัวใจก็จะทำงานหนักในการสูบฉีดเลือด เส้นเลือดบางเส้นมีขนาดเล็กมากจนต้องใช้กล้องขยายส่องดูจึงจะมองเห็น ท่านลองคิดดูว่าเลือดที่มันข้นหนืดจะเข้าไปในเส้นเลือดเล็กๆเหล่านั้นได้อย่างไร สุดท้ายก็ทำให้เส้นเลือดอุดตัน สมองขาดเลือด เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตไป ดังนั้นผมว่าเราหันมาดื่มน้ำให้พอเพียงกับที่ร่างกายต้องการกันดีกว่าครับ

ขั้นตอนที่ 2. ดื่มน้ำตอนเช้าหลังตื่นนอน
ตื่นเช้าขึ้นมาผมแนะนำว่าอย่างแรกที่ท่านควรทำก่อนอย่างอื่นเลยก็คือ ดื่มน้ำให้ได้ 2-5 แก้ว ก่อนแปรงฟัน ดื่มน้ำอุ่นๆได้ยิ่งดี เพราะน้ำอุ่นนั้นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา และอุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิของร่างกายให้เย็นลง
ทำไมต้องดื่มน้ำก่อนแปรงฟัน บางท่านแปรงฟันเสร็จแล้วก็จะไปทำธุระอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ อ่านหนังสือพิมพ์ ทานกาแฟ หรือทานข้าวเสร็จแล้วออกจากบ้านไปเลย จนลืมดื่มน้ำไป สาเหตุที่ให้ดื่มน้ำก่อนแปรงฟันก็เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านหลงลืมการดื่มน้ำยังไงล่ะครับ หรือถ้าท่านใดรู้สึกรังเกียจขี้ฟันของตัวเองก็ดื่มหลังจากแปรงฟันเสร็จแล้วก็ได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แต่อย่าลืมดื่มน้ำละกันครับ
การดื่มน้ำตอนเช้ามีประโยชน์อย่างที่ท่านคาดไม่ถึงเลยครับ เพราะเป็นการชำระล้างทำความสะอาดระบบขับของเสียในร่างกาย ช่วงเช้านั้นเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกำจัดพิษออกจากร่างกาย ร่างกายจะได้สะอาดแถมยังเป็นยารักษาโรคอย่างดีอีกด้วย เช่น ผู้ที่มีอาการท้องผูก ถ้าดื่มน้ำได้ 5 แก้วในตอนเช้า ร่างกายจะค่อยๆปรับสมดุล ภายใน 2 สัปดาห์ระบบขับถ่ายก็จะดีขึ้นเองโดยไม่ต้องกินยาระบายหรือยาถ่ายเลย เพราะยาถ่ายจะทำให้ลำไส้เสียการทำงาน เพราะถูกยากระตุ้นจนเคยชิน ขับถ่ายเองตามธรรมชาติย่อมดีกว่าเห็นๆครับ

ขั้นตอนที่ 3.หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม นม
อุณหภูมิโดยปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียส ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆ สัก 2 องศาเซลเซียส น้ำเย็นจะต้องไปดึงความร้อนของร่างกายมาทำให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย การดูดซึมจึงจะทำงานได้ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้คืนสู่ปกติ บางท่านเอาน้ำชาใส่กระติกน้ำแข็งแช่เย็นแล้วก็ดื่มทั้งวัน เวลาดื่มก็ชื่นใจดี แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเท่านั้น เพราะชามีฤทธิ์เย็นแม้ท่านจะดื่มแบบร้อนก็ตาม เมื่อชาเข้าไปอยู่ในร่างกายแล้ว ความร้อนของน้ำจะหายไป เหลือแค่ฤทธิ์ของชาซึ่งเย็น และไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อเราดื่มน้ำชาแช่เย็นแล้วตัวเราจะเย็นมากขึ้นเพียงใด เหมือนร่างกายเราถูกแช่เย็น แถมยังเกิดลมเกิดแก๊สขึ้นมาอีกต่างหาก

ส่วนน้ำอัดลมนั้น ท่านดื่มแล้วรู้สึกเย็นซ่าชื่นใจ จนบางคนติด ไม่ดื่มไม่ได้ จะดื่มทีก็ต้องดื่มแบบเย็นจัด แช่ตู้เย็นแถมใส่น้ำแข็งเพิ่มไปอีก ท่านลองคิดดูซักนิดว่าท่านได้อะไรจากน้ำอัดลมบ้าง นอกจากความเย็น น้ำตาล สารแต่งสี สารแต่งกลิ่น มีแต่สิ่งไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นเลย น้ำอัดลมดื่มได้ครับแต่ขอให้ดื่มกับพอรู้รสชาติ อย่าได้ดื่มกันเป็นกิจวัตรจนแทนน้ำ แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรงดไปเลยดีกว่าครับ
และนม ที่หลายท่านพยายามสอนให้ลูกให้หลานดื่มกันด้วยความเชื่อว่านมนั้นมีประโยชน์เหลือหลาย ว่าจะทำให้ตัวโตแข็งแรง แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ชาวเอเชียเมื่อหย่านมแล้วร่างกายจะไม่ย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม และสารเคซินในนมจะเหนียวจับตัวเป็นลิ่มเป็นก้อนทำให้กระเพาะอาหารทำการย่อยสารเหล่านี้ลำบาก และยังนิยมดื่มนมที่มีรสหวาน ดื่มนมแช่เย็นกันอีก ความหวานและความเย็นจากนมที่ท่านชอบดื่มกันก็สามารถสร้างปัญหาให้ร่างกายท่านได้ไม่ต่างอะไรจากน้ำอัดลมเช่นเดียวกัน

ขั้นตอนที่ 4.ดื่มน้ำให้ถูกเวลา
– 15 นาทีก่อนทานอาหาร
-ระหว่างทานอาหาร
– รับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
ทั้งสามกรณีที่ผมยกมานี้เป็นช่วงเวลาที่คนเรามักดื่มน้ำ การดื่มน้ำในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นการดื่มน้ำที่ผิดเวลาอย่างมาก และเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้
ถ้าท่านดื่มน้ำก่อนทานอาหาร น้ำที่ท่านดื่มเข้าไปมันก็ไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และพอท่านทานอาหารตามเข้าไป น้ำย่อยที่เข้มข้นสำหรับย่อยอาหารมันกลับเจือจางเสียแล้ว ทำให้การย่อยอาหารไม่ดี อาหารไม่ย่อยและเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหาร พอเกิดการหมักหมมในกระเพาะอาหารเมื่อไหร่ก็เกิดพิษในร่างกายขึ้นมาเมื่อนั้น พิษที่เกิดขึ้นมาก็เป็นสาเหตุอาการเจ็บป่วยทั้งหลาย เช่นเดียวกับการที่ท่านดื่มน้ำระหว่างทานอาหาร หรือดื่มน้ำหลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ จะทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี

สาเหตุง่ายๆที่ท่านอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าการดื่มน้ำผิดเวลาก็ทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ แต่แก้ไขได้ง่ายๆครับ ด้วยวิธีดังนี้
1. ระหว่างทานอาหารควรดื่มน้ำแต่น้อย อย่างมากไม่เกิน 1 แก้ว เพื่อให้น้ำย่อยมีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้เต็มที่
2. หลังทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที ค่อยดื่มน้ำตามปกติ เพื่อให้กระเพาะได้ทำการย่อยอาหารเสียก่อน
3. และที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น ในการย่อยอาหารนั้นกระเพาะต้องใช้ไฟในการย่อยอาหาร ถ้าท่านดื่มน้ำเย็นเข้าไป ความเย็นจะเข้าไปดับไฟในกระเพาะ และเป็นสาเหตุให้อาหารไม่ย่อย บางท่านอาจจะบอกว่าเวลาไปทานร้านอาหาร เขาก็ให้แต่น้ำเย็นทั้งนั้น ก็ขอให้ท่านดื่มแต่น้อยดีกว่าครับ
กระเพาะอาหารมีธาตุไฟ “ปริณามัคคี” คือไฟสำหรับย่อยอาหาร ที่จะย่อยอาหารให้เป็นสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ถ้าไฟธาตุนี้พิการ อาหารก็จะไม่มีไฟในการย่อย ก็จะเกิดอาหารท้องอืด ท้องพอง ผะอืมผะอม อาเจียน ร้อนในอกในใจ บวมตามมือตามเท้า บางคนไอไม่หายเพราะกินแต่ยาแก้ไอ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด เพราะต้นเหตุที่แท้จริงคือกระเพาะอาหารย่อยอาหารไม่ได้ แล้วเกิดการหมักหมมเกิดเป็นแก๊สพิษ Toxin ในร่างกายและกระแสเลือด

ผมมีตัวอย่างผู้ป่วย 2 ท่านที่มีอาการเจ็บป่วยจากน้ำเป็นสาเหตุมาให้ท่านลองพิจารณาดูกันว่า น้ำจะเป็นสาเหตุของอาการป่วยได้อย่างไรบ้าง

ท่านแรกเป็นผู้ชาย อายุ 32 น้ำหนัก 57 กก มีอาการเจ็บใต้น่อง ตั้งแต่เส้นกระเพาะปัสสาวะ เดิน ยืดขาตรงๆไม่ได้ ต้องงอขาเอาไว้ เคยเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นวดแล้วก็หาย แต่ 2-3 เดือนที่แล้วอาการกำเริบขึ้นมา กีฬาที่เคยเล่นทั้งแบดมินตัน บาสเกตบอลปัจจุบันนี้เล่นไม่ได้เลย เพราะแม้แต่ยืนยังไม่ไหว ปวดตั้งแต่ก้นกบ สลักเพชร ลงไปที่ขา มันเป็นเพราะสาเหตุจากอะไร เราลองมาดูพฤติกรรมของผู้ป่วยท่านนี้กันนะครับ

เริ่มตั้งแต่เช้า นอนดึก ตื่น 7 โมง ไม่ทานอะไรเลย ไม่ว่าน้ำหรืออาหาร แต่มาทานอาหารเอาตอน 11 โมงและตอนหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม ดื่มน้ำเฉพาะตอนทานหลังอาหารเท่านั้น จะไม่ดื่มน้ำเวลาอื่นเลย ระหว่างวันก็จะไม่ค่อยดื่ม น้ำที่ดื่มก็เป็นน้ำเย็นใส่น้ำแข็ง เขาทานอาหารสองมื้อ ดื่มน้ำรวมกันแล้ว 3 แก้ว บางครั้งก็ทานน้ำอัดลมบ้าง สัปดาห์ละ2-3ครั้ง ไม่ทานกาแฟ ดื่มเบียร์บ้าง ถ่ายอุจจาระทุกวัน ปัสสาวะไม่บ่อย เพราะดื่มน้ำน้อยก็ไม่รู้จะเอาปัสสาวะมาจากไหน โดยปกติแล้วน้ำหนักตัวอย่างผู้ป่วยท่านนี้ต้องดื่มน้ำเกือบ 8-10 แก้วต่อวัน ถึงจะทำให้เลือดเดินได้ดี เลื่อดจะได้ไม่หนืดไม่ข้น และเลือดจะได้พาอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่ายกายได้

ผมลองจับตัวเขาดู ช่วงบนของร่างกายมีอาการร้อนบ้าง แต่ช่วงล่างตั้งแต่ท้องน้อยลงนี่เย็นเยือกเลย เท้าซึ่งปกติจะต้องมีสีแดงหรือสีชมพูแสดงว่าเลือดไหลได้ดี แต่เท้าของเขาสีซีดขาวเลย ไม่มีเลือด ขาไม่มีกำลัง ขาหนัก เหมือนท่อนไม้ไม่มีชีวิตชีวา แสดงว่าเลือดลมไหลฝืดมาก ผมลองจับเส้นชีพจรที่ขาหนีบ ก็พบว่าเส้นเลือดเต้นได้ค่อย และน้อยมาก

ดูจากพฤติกรรมแล้วอาการทั้งหมดแล้ว ก็สรุปได้ว่า การดื่มน้ำที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เลือดข้นและหนืด เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายแล้วไม่ดี ถึงแม้จะมีหมอนวดที่เก่งแค่ไหนก็แล้วแต่ คงไม่สามารถช่วยเขาได้ ถ้าเขาไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของเขาเอง ถ้าไม่เปลี่ยนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ขาของเขาก็จะเดินไม่ได้ ต่อมาศีรษะก็จะมีปัญหาเพราะเลือดไม่สามารถขึ้นไปเลี้ยงสมองได้เลย

คนไข้อีกรายเป็นผู้หญิงครับ เป็นแม่บ้าน มีอาการชา มือชา แขนชา หัวไหล่ชา ปวดหัวเข่า ไปโรงพยาบาล หมอก็ให้ยาคลายเส้นตลอด ผมตรวจดูลิ้นของคนไข้แล้วพบว่าลิ้นแห้ง เป็นฝ้าเหลือง แสดงว่ามีอาการร้อนชื้นข้างใน เป็นความดัน นอนไม่ค่อยหลับ ตื่นเช้าตั้งแต่ตีห้าครึ่ง แล้วก็ไม่ทานอะไร มาทานเอาตอนสิบเอ็ดโมงถึงเที่ยง กว่าจะทานอีกทีก็ตอนเย็นจะดื่มน้ำก็ตอนทานอาหาร ดื่มน้ำเย็นใส่น้ำแข็งตลอด วันๆหนึ่งก็ไม่ค่อยได้ดื่มน้ำเลย พฤติกรรมเหมือนผู้ป่วยท่านแรกเลยครับ

จากที่ผมได้ตรวจดูแล้ว ขาแข็งมาก หนัก ยกแทบไม่ขึ้น ไม่มีเลือดเลยเหมือนท่อนไม้ คอก็แห้ง นี่เป็นตัวอย่างของอาการป่วยที่เกิดจากการดื่มน้ำที่ไม่ถูกต้อง คนเราปกติแล้วต้องดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว แต่เขาดื่มเพียง 3 แก้วต่อวัน แล้วอย่างนี้จะมีเลือดไหลไปเลี้ยงบ่า เลี้ยงไหล่ เลี้ยงแขนได้อย่างไร แค่เลี้ยงตัวก็จะไม่มีอยู่แล้ว ยิ่งขาแล้วจับชีพจรดูก็เต้นได้น้อยมาก เลือดแทบไม่ไหลเลย ดังนั้นขาของเขาจึงเกิดปัญหา มีอาการปวด

การบำบัดรักษาให้ผู้ป่วยท่านนี้ ก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาเสียใหม่ โดยให้ทั้งสองท่านดื่มน้ำให้มากขึ้น วันละประมาณ 10 แก้ว เช้าตื่นมาก่อนแปรงฟันก็ดื่มน้ำอุ่นซัก 2-5 แก้ว จะช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น การหมุนเวียนของน้ำก็จะดีขึ้น อาการต่างๆก็จะดีขึ้น เพราะว่าน้ำจะพาเลือดซึ่งเป็นอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายก็จะได้รับอาหาร เมื่อได้รับอาหารแล้วมันก็จะทำงานไปตามหน้าที่ของมัน เป็นการปลุกอวัยวะต่างๆให้ลุกขึ้นมาทำงานได้ปกติ คือการสร้างพลังบำบัดให้ร่างกายเรา โดยไม่ต้องไม่พึ่งยามากนัก

จะมีบ้างบางกรณีที่ต้องใช้ยา เช่น ยาคลายเส้น เพื่อให้ขับถ่ายเอาของเสีย เอาลม เอาเสมหะ เอาอุจจาระออกจากร่างกาย เพื่อให้รับของใหม่ได้เต็มที่ ของใหม่ก็จะถูกสร้างเป็นอาหาร เปรียบเสมือนว่าถ้าร่างกายสกปรกเกินไป ก็จะมีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์เสียๆ อยู่ ถ้าไม่เอาของเสียออกจากร่างกายแล้ว เราจะใส่อะไรลงไป เชื้อโรคเหล่านั้นก็จะทำให้ของดีๆเสียหมด แต่ถ้าเราเปลี่ยน เอาของไม่ดีออกจากร่างกายเสียก่อน อาหารที่ทานเข้าไปก็จะไปสร้างจุลินทรีย์ที่ดีๆขึ้นมา ถ้าเราใส่ของดีเข้าไปร่างกายก็มีสุขภาพดีตลอด ของเสียที่ค้างอยู่ในร่างกายก็จะถูกลากออกไปอยู่ที่ว่าพวกใครมากกว่ากัน

ถ้าพวกดีมากร่างกายก็จะได้ของดี ถ้าพวกไม่ดีเยอะกว่าร่างกายก็จะได้แต่ของไม่ดีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยวิธีง่ายๆแค่นี้ครับ เอาของเสียออกจากร่างกาย ผลัดเก่าเป็นใหม่ โรคภัยต่างๆก็จะค่อยๆดีขึ้นเองครับ

โดย
www.the-arokaya.com

Share

ลูกเดือย ธัญพืชดีๆ สำหรับคนนอนไม่หลับ

เชื่อว่าคนเมืองใหญ่หลายๆ คน คงกำลังเกิดอาการนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่บางครั้งเหนื่อยแสนเหนื่อย ทั้งยังเกิดอาการล้าสายตาและเกิดปวดหลังอันเนื่องมาจากการนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน ครั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องนอน แต่กลับข่มตาเท่าไหร่ก็หลับไม่ลงซะที หรือถ้าหลับก็จะเกิดอาการกระสับกระส่ายนอนไม่เต็มตา เหมือนว่ากำลังตื่นตลอดเวลา เมื่อเกิดอาการเช่นนี้บ่อยๆ เข้า ก็หันไปพึ่งยานอนหลับ

คุณรู้หรือเปล่าว่า ยานอนหลับไม่ใช่เป็นยาแก้ แต่เป็นยาบังคับประสาทที่สั่งให้เราหลับ ดังนั้นมันก็คือ สิ่งที่ฝืนธรรมชาติ และจะดีกว่ามั๊ย ถ้าคุณจะหันมาให้ธรรมชาติ เป็นตัวช่วยที่ทำให้คุณหลับสบาย ซึ่งธรรมชาติที่ว่านี้ก็คือ มหัศจรรย์ของเมล็ดธัญพืชเม็ดกลมๆ อ้วนๆ สีขาว รสชาติหวานมันอย่าง “ลูกเดือย” ซึ่งคุณอาจจะมองข้ามความสำคัญของลูกไป ที่สามารถช่วยให้คุณนอนหลับได้ค่ะ

สารอาหารในลูกเดือย
ลูกเดือยมีสารอาหารมากมายที่คุณคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 วิตามินเอ โพแทสเซียม โปรตีนคุณภาพสูงเทียบเท่าโปรตีนที่ได้จากข้าวโอ๊ต ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส แคลเซียม ใยอาหาร และกรดอะมิโน ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่ช่วยให้คุณหลับได้ง่ายขึ้นค่ะ เพราะกรดอะมิโนตัวนี้จะสามารถเข้าไปกระตุ้นให้เซลล์สมองหลั่งสารที่ทำให้นอนหลับ สมองก็จะพักการทำงานชั่วคราว หลังจากที่ทำงานมาอย่างหนักตลอดทั้งวัน

เมนูสำหรับคนนอนไม่หลับกับลูกเดือย
สำหรับคนที่นอนไม่หลับ ให้เปลี่ยนจากการทานยานอนหลับ มาเป็นดื่มน้ำลูกเดือยอุ่นๆ ก่อนนอนดีกว่านะคะ โดยใช้ลูกเดือยต้มประมาณ 9-15 กรัม ผสมกับปั้วแห่(สมุนไพรจีน) 5 กรัม ต้มกับน้ำ รอให้อุ่นแล้วค่อยๆ ดื่ม แต่ถ้าไม่ชอบดื่มน้ำลูกเดือยโดยตรง ก็สามารถเลือกดื่มเครื่องดื่มธัญพืชที่มีส่วนผสมของลูกเดือย ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน และอย่าลืมดื่มตอนอุ่นๆ ก่อนนอนนะคะ ทั้งยังเหมาะกับการให้เด็กๆ ได้ดื่มก่อนนอน เพื่อให้เช้าวันรุ่งขึ้น เด็กๆ มีระบบขับถ่ายที่ดีได้ด้วย

มื้อเย็นเป็นข้าวต้มผสมลูกเดือย ทานคู่กับอาหารที่ย่อยง่ายและมีไฟเบอร์สูงอย่าง ปลาทูทอด ผัดผักรวมมิตร ซึ่งจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งนี้คุณควรรับประทานมื้อเย็นก่อนเวลา 18.00 น. เพื่อให้ระบบเผาพลาญทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ควรทานจนอิ่มเกินไป เพราะจะย่อยช้าแล้วคุณก็ยังนอนไม่หลับเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกิดอาหารอึดอัดในกระเพาะ

สำหรับมื้อเช้า อาจดื่มน้ำเต้าหู้ผสมลูกเดือย หรือดิ่มเครื่องดื่มธัญพืชที่มีส่วนผสมของลูกเดือย ก็จะช่วยในเรื่องของการขับถ่ายได้ดี นอกจากนี้ในตำราจีนยังมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าว ต้มเป็นข้าวต้มรับประทานทุกวัน เพื่อบำรุงกำลังให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย

ประโยชน์ดีๆ ที่ไม่ควรมองข้าม
นอกจากลูกเดือยจะเป็นยาธรรมชาติที่ช่วยให้คุณหลับได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังสามารถนำไปเป็นยาลดไข้ แก้ร้อนใน ขับปัสสาวะ ชงกินขับพยาธิ เป็นตัวช่วยย่อยอาหาร เป็นยาลดน้ำตาลและไขมันในเลือด ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต้านทานป้องกันหวัด บำรุงไต ลดความดันในเลือดได้ด้วย

แต่เมื่อมองกันดีๆ แล้วสาเหตุของการนอนไม่หลับนั้น มาจากความเครียดหรือการมีเรื่องทุกข์กังวลอยู่ในใจ ทำให้กระบวนการทางความคิดของสมองทำงานอยู่ตลอดเวลา สมองจึงไม่ได้พักผ่อน คุณจึงไม่หลับค่ะ ซึ่งถ้าคุณต้องการนอนให้หลับจริงๆ นั้น นอกจากเลือกรับประทานลูกเดือยแล้ว คุณต้องจัดการกับความเครียดของคุณเป็นอันดับแรก แล้วเลือกนอนให้ห้องที่เงียบ อากาศถ่ายเทสะดวกอยู่ในระดับที่ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป

ก่อนนอนนอกจากดื่มน้ำลูกเดือยอุ่นๆ แล้ว ก็อาจสวดมนตร์ไหว้พระหรือนั่งสมาธิ เพื่อให้จิตใจและสมองผ่อนคลาย หรืออ่านหนังสือเพื่อให้ง่วง และยังมีเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งก็คือ ก่อนนอนลองลืมตา อย่าคิดอะไรทั้งสิ้น เชื่อว่าไม่นานสักพักหนังตาของคุณจะหรี่ลงและหลับลงในที่สุด

หวังว่าคืนนี้คุณคงไม่ต้องใช้แกะมานอนนับให้สมองยิ่งทำงาน หลับฝันดีนะคะ!

Tip
เวลาที่ดีที่สุดของการนอนหลับคือ ก่อนเวลา 22.00 น.เนื่องจากหลังช่วยเวลาดังกล่าวแล้ว ร่างกายจะทำหน้าที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขับของเสียตามอวัยวะต่างๆ ย่อยอาหารให้หมดและยังช่วยฟื้นฟูผิวพรรณ
เรื่อง ศรัญญา โรจน์พิทักษ์ชีพ
จาก Ovaltine 5 Grains

Share