สิ่งที่ควรสละ

ช่วงสาย ขณะที่ผมและเพื่อนๆ นั่งทำงานตามปกติ
มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามา

หลังจากวางสาย.. ก็มีเสียงตะโกนบอกว่า
“พ่อของอดีตพนักงานคนหนึ่งจะผ่าตัด ต้องการเลือดภายใน 4 โมงเย็น! ที่รามา”

ไม่เกิน 10 นาที บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
กลายเป็นมูลนิธิเพื่อการกุศลทันที เพราะมีผู้ร่วมบริจาคนับสิบคน รวมถึงผมด้วย

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริจาคเลือด แต่เป็นครั้งแรกที่ตั้งใจบริจาคเพื่อช่วยเหลือใครสักคน

ผมนั่งฟังญาติผู้ป่วยเล่าว่า จ่ายค่ารักษาวันละ 8000 บาท
“โอ้ว อะไรจะแพงขนาดนั้น”

และระหว่างรอการเจาะเลือด ก็เห็นว่าใช้อุปกณ์การแพทย์ต่อการเจาะหนึ่งคนหลายชิ้นมาก
ก็ไม่รู้ว่าถ้าซื้อมาเจาะเองได้จะต้องเสียเท่าไร

แต่คิดไปคิดมาส่วนได้กับส่วนเสีย ต่างกันราวฟ้ากับดิน
ระหว่าง “เลือด” กับ “อุปกรณ์ 4-5 ชิ้น”
ระหว่าง ชีวิตคน กับ เงินไม่กี่สิบกี่ร้อยบาท

ก่อนหน้านี้หาข้อมูล เหตุต้น ผลกรรม ก็บังเอิญไปเจอพุทธสุภาษิตอยู่ท่อนหนึ่ง

จเช ธนํ องฺควรสฺส เหตุ
องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน
องฺคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ
สพฺพํ จเช นโร ธมฺมมนุสฺสรนฺโต.

แปลว่า

พึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ, เมื่อรักษาชีวิตพึงสละอวัยวะ
เมื่อคำนึงถึงธรรม พึงสละอวัยวะ ทรัพย์ และแม้ชีวิต ทุกอย่าง.

ซึ่งตอนที่เจอ ก็จะนำมาเขียนถึง แต่ก็ยังไม่มีแรงจูงใจพอ
วันนี้เจอเหตุการแบบนี้ก็เลยนึกถึงและนำมาประกอบเรื่องเล่าได้อย่างพอดี

ถึงแม้จะไม่ได้สละเงิน หรืออวัยวะ แต่ทำให้คนหนึ่งมีชีวิตยืดต่อไปก็รู้สึกดี

.. ไม่เสียสละ ชัยชนะไม่เกิด
(ฮ่่าๆ เกี่ยวไหมหนอ)

Share

เคล็ด 10 ประการของมวยไท่เก๊ก

เอี่ยเถ่งโพ่ว (หยางเฉิงฟู่) ……………ผู้ถ่ายทอด
ตั่งหมุ่ยเม้ง (เฉินเวยหมิง) ……………… ผู้บันทึก

เรียบเรียงโดย อ.เซียวหลิบงั้ง (webmaster http://www.thaitaiji.com)

1. ฮือเล้งเตงแก่ (ซวีหลิงติ่งจิ้ง) คือ ศรีษะตั้งตรงจิตแล่นขึ้นบนกระหม่อม อย่าใช้กำลัง ถ้าใช้กำลังคอจะเกร็งแข็ง เลือดลมจะเดินไม่สะดวก ต้องใช้จิตที่เบาและคล่อง ถ้าไม่มีฮือเล้งเตงแก่ ย่อมไม่สามารถยกจิตให้มีสติได้

2. ห่ำเฮงปวกป่วย (หันเซียงป๋าเป้ย) ห่ำเฮง คือ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้าอก ทำให้ขี่ (ชี่) จมลงสู่ตังชั้ง (ตันเถียน) ห้ามการเบ่งอก เบ่งอกทำให้ขี่กักอยู่บริเวณหน้าอกมีผลให้ร่างกายส่วนบนหนักส่วนล่างเบา เมื่อยกเท้าขึ้นเตะร่างกายก็เบาลอย ปวกป่วย คือ การที่ขี่แล่นแนบติดกระดูกสันหลัง ถ้าสามารถทำห่ำเฮงได้ก็จะทำปวกป่วยได้โดยอัตโนมัติ สามารถปวกป่วยได้ก็จะสามารถส่งพลังออกจากหลังได้ทำให้ไร้คู่ต่อสู้

3. ซงเอีย (ซงเอียว) คือการผ่อนคลายเอว เอวเป็นส่วนที่ควบคุมร่างกายเป็นอันดับแรก สามารถผ่อนคลายเอวภายหลังสองขาจึงจะมีกำลัง รากฐานมั่นคง ฮือซิก (ว่างและเต็ม) รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงอาศัยเอวเป็นตัวจักรสำคัญ ดั่งคำว่า “จิตสั่งงานเริ่มต้นที่เอว” มีส่วนใดของร่างกายไม่ถูกต้องให้ปรับที่เอวและขาก่อน

4. ฮุงฮือซิก (เฟินซวีสือ) คือการแบ่งเต็มและว่าง ซึ่งเป็นหลักใหญ่อันดับแรกของมวยไท่เก๊ก ตัวอย่างเช่น หากน้ำหนักของร่างกายทั้งหมดอยู่บนขาขวา เช่นนั้น ขาขวาคือเต็ม ขาซ้ายคือว่าง น้ำหนักของร่างกายทั้งหมดอยู่บนขาซ้าย เช่นนั้นแล้วขาซ้ายคือเต็ม ขาขวาคือว่าง เมื่อสามารถแบ่งเต็มและว่าง เมื่อนั้นการเคลื่อนไหวและการหมุนตัวย่อมคล่องแคล่วไม่ต้องเสียกำลังแม้แต่น ้อย ถ้าไม่สามารถแบ่งแยกได้ เมื่อนั้นการก้าวเท้าก็จะหนักและฝืด ยืนไม่มั่นคงง่ายต่อการถูกผู้อื่นทำให้เซได้

5. ติ่มโกยตุ่ยอิ้ว (เฉินเจียนจุ้ยโจ่ว) ติ่มโกย คือ การลดและผ่อนคลายบริเวณหัวไหล่ หากไม่สามารถผ่อนคลายได้ สองไหล่ก็จะยกขึ้น เมื่อนั้นขี่ก็จะแล่นตามขึ้นข้างบน ทั้งร่างกายจะไม่มีพลัง ตุ่ยอิ้ว คือ การผ่อนคลายข้อศอกและให้ปลายข้อศอกคล้ายกับมีน้ำหนักถ่วงลงพื้น หากศอกยกขึ้นก็จะทำให้ไม่สามารถลดหัวไหล่ลงได้ ไม่สามารถตีคนให้กระเด็นออกไปไกลได้

6. เอ่งอี่ปุกเอ่งลัก (ย่งอี้ปู๋ย่งลี่) คือ การใช้จิตมาสั่งการเคลื่อนไหวของร่างกายไม่ใช้กำลังมาเคลื่อนไหว ในคัมภีร์ไท่เก๊ก มีตอนหนึ่งกล่าวว่า “ ทั้งหมดนี้ คือ ใช้จิตไม่ใช้กำลัง” การฝึกมวยไท่เก๊ก ต้องผ่อนคลายทั้งร่างกาย ไม่ใช้กำลัง (ที่กระด้าง) แม้แต่น้อยนิด ซึ่งจะขัดขวางการเดินของเลือดลม ถ้าสามารถไม่ใช้กำลังได้เมื่อฝึกนานวันเข้าก็จะบรรลุถึความเบาคล่องสามารถหม ุนและเปลี่ยนแปลงได้ดั่งใจต้องการ มีคำถามว่าหากไม่ใช้กำลังไฉนพลัง(ภายใน)จะก่อเกิดได้ คำตอบคือ ในร่างกายของคนเรามีเส้นลมปราณอยู่ทั้งร่าง เฉกเช่นสายน้ำ สายน้ำไม่ถูกอุดตันน้ำย่อมไหลไปได้ ฉันนั้นเมื่อร่างกายกล้ามเนื้อแข็งเกร็งขึ้นย่อมไปบีบรัดเส้นลมปราณทำให้เลื อดลมไหวเวียนไม่คล่อง การเคลื่อนไหวย่อมไม่คล่องไปด้วย ถูกดึงแม้เพียงเส้นผมย่อมกระเทือนไปทั่วร่าง แต่หากว่าใช้จิตไม่ใช้กำลัง จิตถึงที่ใดลมปราณย่อมถึงที่นั้นด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเมื่อฝึกทุกวันลมปราณเคลื่อนไปทั่วร่างกายไม่มีหยุดไหล ฝึก นานวันเข้าย่อมบรรลุถึงกำลังภายในอันแท้จริง ดั่งคัมภีร์มวยไท่เก๊กกล่าวไว้ว่า “อ่อนหยุ่นถึงที่สุด ภายหลัง(ย่อม)แข็งแกร่งถึงที่สุด” ผู้ที่ฝึกมวยไท่เก๊กจนบรรลุฝีมือแล้ว แขนคล้ายดังปุยนุ่นที่หุ้มเหล็กไว้ภายในและมีน้ำหนักมาก ผู้ที่ฝึกฝนมวยภายนอก เมื่อใช้กำลังย่อมปรากฎกำลังออกมาแต่ยามไม่ได้ใช้กำลังจะเบาลอยอย่างมาก สามารถเห็นกำลังนั้นเป็นกำลังที่อยู่ภายนอกอย่างชัดเจนไม่ใช้จิตแต่ใช้กำลัง ง่ายต่อการถูกชักนำให้เคลื่อน

7. เจี้ยแอ๋เซียงซุ้ย (ซ่างเซี่ยเซียงสุย) หมายถึง ส่วนบน(ของร่างกาย) และส่วนล่างเคลื่อนตามกัน คัมภีร์มวยไท่เก๊กกล่าวว่า “รากนั้นอยู่ที่เท้า เคลื่อน(พลัง)จากขา ควบคุมด้วยเอว รูปลักษณ์ที่นิ้วมือจากเท้าไปยังขาสู่เอวทั้งหมดนี้ต้องสมบูรณ์ด้วยพลังเดีย ว(กัน) “ มือเคลื่อน , เอวเคลื่อน , ขาเคลื่อน สายตามองตามการเคลื่อนไหว เรียกว่า เจี้ยแอ๋เซียงซุ้ย มีส่วนใดไม่เคลื่อนย่อมสับสนไม่เป็นระเบียบ

8. ไหล่หงั่วเซียงฮะ (เน่ยไห้วเซียงเหอ) หมายถึงภายในและภายนอกสัมพันธ์กัน มวยไท่เก๊กเน้นที่การฝึกจิตและสติ ดังคำกล่าว “สติคือแม่ทัพ ร่างกายคือทหาร”สามารถยกสติให้ตั้งอยู่ได้ การเคลื่อนไหวย่อมเบาคล่องเป็นธรรมชาติ ท่วงท่าไม่ทิ้ง(หลัก) เต็มว่างและแยกรวม(ไคฮะ) ไค (แยก) นั้นไม่เพียงแต่มือเท้าเปิดจิตก็ต้องเปิดด้วย ฮะ(รวม) ไม่เพียงมือเท้ารวม จิตก็ยังต้องรวมด้วย

9. เซียงเลี้ยงปุกต๋วง (เซียงเหลียนปู๋ต้วน) คือการต่อเนื่องไม่ขาดสาย วิชาของมวยภายนอก พลังนั้นเป็นพลังหลังฟ้าที่กระด้าง คือมีขึ้นมีหยุด มีขาดมีต่อ แรงเก่าหมดไปแล้วแรงใหม่ยังไม่ก่อเกิด ในขณะนั้นเป็นการง่ายอย่างมากต่อผู้อื่นที่จะเข้ากระทำ มวยไท่เก๊กใช้จิตไม่ใช้กำลัง ตั้งแต่ต้นจนจบ ต่อเนื่องไม่ขาดสายวนครบรอบก็ขึ้นต้นใหม่หมุนวนไม่รู้จบ คัมภีร์กล่าวว่า “ดุจดั่งแม่น้ำสายใหญ่ไหลไม่มีวันหมด “

10. ต๋งตังขิ่วแจ๋ (ต้งจงฉิวจิ้ง) คือความสงบในความเคลื่อนไหว วิชามวยภายนอก เวลาฝึกฝนเมื่อใช้พลังเต็มที่กระโดดโลดเต้นหลังฝึกฝนเสร็จย่อมเกิดอาการเหนื ่อยหอบ มวยไท่เก๊กสงบในความเคลื่อนไหว แม้ว่าเคลื่อนไหวแต่ว่าสงบ ดังนั้นการฝึกจึงยิ่งช้ายิ่งดี ช้าทำให้ลมหายใจยาวลึก ขี่จมสู่ตังซั้ง

Share

5 วิธีทำให้สมองฟิต ความคิดปิ๊ง…

คุณเคยมีอาการอย่างนี้บ้างมั้ย…

จับจ่ายไม่ได้ เพราะลืมกระดาษโน๊ตจดรายการของที่ต้องซื้อไว้ที่บ้าน
พระเอกหนังเรื่องที่ดูเมื่อวานชื่ออะไรน้า
จอดรถไว้ชั้นไหนของห้างนะ

อย่า! อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าคุณเริ่มแก่ สมองเริ่มเสื่อมแล้ว
มีวิธีฟิตสมองอย่างง่ายๆ ที่คุณทำได้ในชีวิตประจำวันมาฝากกัน จากหนังสือ “สมองฟิต ความคิดปิ๊ง”

ก่อนฟิตสมอง คุณรู้มั้ยว่า
พฤติกรรมซ้ำๆ ทำให้สมองฝ่อ
ใ นโลกที่เราคาดเดาเกือบทุกอย่างได้ล่วงหน้า กิจวัตรส่วนใหญ่เป็นพฤติกรรมจากจิตใต้สำนึกที่เรากระทำโดยใช้พลังจากสมองน้อ ยมาก ทำให้ไม่ค่อยมีการเชื่อมโยงระหว่างเซลล์ประสาทในสมองชั้นนอก สมองจึงไม่ค่อยได้ออกกำลัง
ถ้าคุณขับรถหรือนั่งรถไปทำงานโดยใช้เส้นทางเด ิมทุกวัน สมองคุณก็จะใช้ประสาทส่วนเดิมทุกวันเช่นกัน การใช้ประสาทเฉพาะส่วนนั้นๆ เป็นประจำทำให้เซลล์ส่วนนั้นแข็งแรง แต่ขณะเดียวกันประสาทส่วนอื่นๆกลับอ่อนแอเพราะถูกละเลย ผลดีก็คือ คุณเริ่มช่ำชองกับเส้นทางจาก ก ไป ข แต่ผลเสียคือ สุขภาพสมอง เพราะสมองพลาดโอกาสที่จะได้รับการกระตุ้นด้วยทัศนียภาพใหม่ๆ กลิ่นใหม่ๆ หรือเสียงใหม่ๆ ซึ่งเป็นความแปลกและหลากหลายที่จะช่วยให้เซลล์ประสาทหลายส่วนได้มีกิจกรรมออ กกำลัง
ถ้าสมองได้รับสิ่งใหม่ ส่วนของสมองชั้นนอกหลายส่วนจะมีกิจกรรมมากขึ้นและหลากหลายขึ้น และเกิดการเชื่อมโยงเซลล์ประสาทสมองส่วนต่างๆในรูปแบบใหม่ ส่งผลให้มีการหลั่งสาร นิวโรโทรฟินส์ หรืออาหารสมองมากขึ้น เซลล์สมองจึงแข็งแรงขึ้น

5 วิธีฟิตสมองในตอนเช้า
1. หลับตาอาบน้ำ เปิดก็อกน้ำ ปรับความแรงหรืออุณหภูมิของน้ำโดยใช้ประสาทสัมผัสและความรู้สึก (อย่าลืมฝึกวิธีปรับอุณหภูมิให้แม่นก่อนลงมือเพื่อป้องกันน้ำร้อนลวกตัว) หลับตาใช้มือสัมผัสหาอุปกรณ์อาบน้ำ จากนั้นจึงล้างหน้า อาบน้ำหรือโกนหนวด

2. เกมสลับมือ ขยับสมอง ฝึกใช้มือข้างที่คุณไม่ถนัดแปลงฟัน หมุนฝาหลอดยาสีฟันและป้ายยาสีฟันบนแปรง อาจใช้วิธีนี้กับกิจกรรมยามเช้าอื่นๆ …การฝึกลักษณะนี้เป็นการกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ให้เริ่มสั่งการเพื่อปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ที่สมองซีกนี้ไม่ค่อยมีส่วนร่วม มีการวิจัยพบว่าการฝึกเช่นนี้ส่งผลให้วงจรและเครือข่ายสมองในส่วนเยื่อหุ้มส มองคอร์แทกซ์ที่ทำหน้าที่ควบคุม และรับส่งคำสั่งจากมือ มีการขยายตัวอย่างมากและในอัตราที่รวดเร็ว หรืออาจลองทำสิ่งต่างๆด้วยมือข้างเดียว ก็ได้

3. อยู่ในโลกไร้เสียง ปิดหูด้วยการใส่หูฟังขณะรับประทานอาหารกับครอบครัวเพื่อสัมผัสโลกเงียบ…คน ใกล้ตัวคงเคยบ่นว่าคุณฟังสิ่งที่เขาพูดเพียงครึ่งเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นตอนยุ่งอยู่ ลองฝึกตัวเองด้วยวิธีนี้จะทำให้คุณบังคับตัวเองให้ใช้ตัวช่วยอื่นในการทำกิจ กรรม เช่น รู้ว่าขนมปังปิ้งที่อยู่ในเครื่องปิ้งได้ที่แล้วโดยไม่ต้องพึ่งเสียง

4. เช้าวันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ลองเลือกกิจกรรมต่อไปนี้หนึ่งหรือสองข้อ แต่ไม่ควรทำหมดทุกข้อในเช้าวันเดียวกัน
• สลับลำดับกิจวัตรตอนเช้า เช่น ถ้าคุณเคยแต่งตัวก่อนกินข้าว ลองเปลี่ยนมากินข้าวก่อนแต่งตัว
• ถ้าคุณเคยรับประทานกาแฟกับขนมปังทุกเช้า ลองเป็นข้าวโอ๊ตและชาสุขภาพ หรืออาหารอื่นบ้าง
• เปลี่ยนเสียงนาฬิกาปลุก เปลี่ยนรายการวิทยุ หรือทีวีไปเป็นรายการที่คุณไม่เคยฟัง รายการเด็กเป็นตัวอย่างที่ดีในการกระตุ้นสมองให้สนใจในเรื่องที่คุณเคยมองข้ าม
• เปลี่ยนเส้นทางที่จะเดินทางไปทำงาน
จากการศึกษาภาพถ่ายของสมอง กิจกรรมใหม่ๆจะกระตุ้นเซลล์ประสาทที่กินพื้นที่สมองชั้นนอกในบริเวณกว้าง วิธีเติมกิจกรรมใหม่นี้จะให้ผลลดลงเมื่อกิจกรรมนั้นกลายเป็นสิ่งที่ทำเป็นกิ จวัตรหรือเป็นอัตโนมัติ เนื่องจากสมองต้องใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ๆ มากกว่าต่อนทำกิจกรรมที่ทำจนชินแล้ว

5. เซ็กซ์ สุดยอดกิจกรรมออกกำลังสมอง ความตื่นเต้นระทึกใจจากกิจกรรมแปลกใหม่ เป็นหัวใจหลักของการเร้าอารมณ์รักโดยเฉพาะในคู่สมรสที่แต่งงานมานาน เพราะช่วยให้คู่รักพบกับความท้าทายและตื่นเต้นจากประสบการณ์ทางเพศแบบใหม่ ใช้จินตนาการและดึงอารมณ์ความรู้สึกทุกส่วนออกมาปรับใช้ เช่น สวมชุดนอนผ้าไหมที่ให้ความรู้สึกสัมผัสที่เรียบลื่น โรยกลีบกุหลาบหอมกรุ่นบนเตียง นวดสัมผัสกันและกันด้วยน้ำมันหอมระเหย หรือสร้างบรรยากาศด้วยเสียงเพลงโรแมนติค
เซ็กซ์ที่ดีนับเป็นการออกกำลังสมองที่ดี ฟังดูอาจเป็นการสรรเสริญเยินยอกิจกรรมบนเตียง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริง เพราะในกิจกรรมร่วมรักมีการใช้ประสาทสัมผัสทุกอย่างที่ก่อให้เกิดการกระตุ้น ในวงจรสมองทุกส่วนรวมทั้งวงจรที่รับรู้เรื่องอารมณ์

เคล็ดลับดีๆอีกมากกับการบริหารสมอง ติดตามรายละเอียดได้จากหนังสือ สมองฟิต ความคิดปิ๊ง
หนังสือแปลจากเรื่อง Keep Your Brain Alive โดย Lawrence C.Katz, Ph.D & Manning Rubin

Credit: http://www.thaireaderclub.com/article.php?c_no=916&f_group=life

Share