สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องนอนดึก…

ใครที่ชอบนอนดึก ๆ อาจจะทำให้เสียสุขภาพได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน…

การพักผ่อนควรเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เ นื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอขับของเสียตามอวัยวะต่ าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด และถ้ากินมื้อหนักในตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนแน่นอน เพราะไขมันเผาผลาญไม่หมดเลยทำให้เกิดการสะสมของไขมัน

แต่ถ้านอนดึกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้องทำงานหรือติดงานอะไรก็ตาม ควรปฏิบัติดังนี้

1. งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยากลำไส้ต้องทำงานหนัก

2. ถ้าหากอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียดมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระการทำงานของลำไส้

3. ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้

4. เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้องกับฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า

5. มื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า

6. ควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะจะเพิ่มภาระทำให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้

อย่าลืมหันมาดูแลสุขภาพกัน ด้วยการไม่นอนดึกมากจนเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดี


ข้อมูลจาก

เครดิต: http://www.dek-d.com/board/view.php?id=915598
เครดิต: http://woratana.exteen.com/20070807/entry

Share

ความหมายของการทำงาน

นักข่าวผู้หนึ่ง ได้เข้าไปสัมภาษณ์คนงานก่อสร้างที่กำลังสร้างโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟของกรุงไทเปประเทศไต้หวันว่า

“คุณรู้สึกอย่างไรที่มาทำงานที่นี่?” เป้าหมายอยู่ที่ชายชราผู้หนึ่ง

“จะมีอะไร? ลำบากกับการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ตกเย็นพอรับค่าจ้าง ขอแค่พอซื้อเหล้าสักขวดกลับบ้านไปดื่ม ก็พอใจแล้ว! ”

ชายชราตอบอย่างขอไปที อีกคนหนึ่งที่เป็นชายวัยกลางคน กับคำถามเดิม

“มีงานให้ทำ ก็ค่อยยังชั่ว แต่เต้นรำกับทำงานไหนเลยจะเทียบกันได้” และพูดต่ออีกว่า “ก็แค่ทำไปวันๆ วันหนึ่งผ่านไปเร็วจะตาย!”

คนที่สามเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งกำลังขะมักเขม้นกับการทำงาน

“ผมคิดว่างานที่ทำอยู่นี้มีความหมายมาก”

“ทำไมล่ะ? ”

“คุณดูสิ! ผมกำลังขุดดินตรงนี้ซึ่งต่อไปตึกแห่งนี้อาจจะเป็นตึกที่สูงที่สุดในไทเปก็ได้ ในอนาคตจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาพัก ผมเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ก่อสร้างมันขึ้นมา

ไม่ใช่มีความหมายดอกหรือ? และต่อไปในอนาคตผมก็ยังสามารถคุยโอ้อวดกับลูกได้อีก? ” ชายหนุ่มกล่าวอย่างมีความเชื่อมั่น

คำถามเดียวกัน กับผู้ที่ทำงานในสถานที่เดียวกัน และต่างก็ได้รับเงินเดือนที่เหมือนๆกัน แต่กลับมีมุมมองและความคิดต่อการทำงานที่ต่างกันได้เพียงนี้ จากตรงนี้ทำให้เราสามารถ
มองเห็นว่า แต่ละคนต่างก็มีปรัชญาและมุมมองชีวิตที่ต่างกัน และที่สำคัญ ความสำเร็จก็ต่างกัน

พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง

ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อจิตใจ คือ ความสุข

สิ่งปลอบประโลมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อจิตใจ คือ ความคุ้มค่า

ปฏิปักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อจิตใจ คือ ความขัดแย้ง

พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อจิตใจ คือ การมุ่งแสวงหาความก้าวหน้า

Share

” 9เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ ” โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด

ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน
แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควร
เอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้
1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เห่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมอง
เหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา
สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ
ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ
ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น
ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ
หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่
คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน
และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal

ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี
ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา
ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง
ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่
สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

กระแสเรื่องราวของอัจริยะภาพมาแรงเหลือเกิน เลยเอามาฝากกันครับ

จาก forward mail

Share