ไร้สติสิ้นอารมณ์ที่แสนหวาน
ทรมานค่ำเช้าที่คิดถึง
หวนร่ำไห้ชอกช้ำครั้นรำพึง
ยังตราตรึงแม้นช่วงวันที่ผ่านไป
มิอาจโทษคนรักทุกเหตุผล
ที่ทุกข์ทนบ่อยครั้งและร่ำไห้
มิอาจโทษแวดล้อมรอบๆกาย
เพราะทุกสิ่งเกิดเพราะฉันเพียงผู้เดียว
แม้ดิ้นรนทำทุกอย่างตามที่คิด
มีแต่ผิดมากขึ้นน่าใจหาย
ไม่ดิ้นรนก็กลัวจะกลับกลาย
ความทรงจำลบเลือนหายไปจากเธอ
ใจหนึ่งรักใจหนึ่งเกรงเธอจะทุกข์
เรื่องผิดถูกจึงมองข้ามสันดานหาย
กลายเป็นคนที่เธอเกลียดอย่างมากมาย
คนรอบกายก็มิใคร่อยากจะมอง
วันวิสาขะบูชา
อย่าลืมไปทำบุญกันนะครับวันนี้
สำหรับผม พวกบาปหนา คงจะไปเวียนเทียน
ไม่รู้วันนี้ตอน 7 โมง จะแหกขี้ตา ไปทำบุญทันไหม -_-”
มาทบทวน วิชาพุทธศาสนา กันเล็กน้อย เอาแบบย่อๆ
วันวิสาขบูชา คือ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีสถาน ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ได้รับพระนามว่า เจ้าชายสิทธัตถะ
* เสริม 1. ตอนผมบวช พระครูบอกว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ชื่อเล่นว่า อังคีรส (แต่ในพระไตรปิฎกบอกว่าเป็นอีกพระนามหนึ่งเท่านั้น เพราะมหาบุรุษ มีแสงรัศมีทั่วร่างกาย)
เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี
เป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลก เขาจึงถือว่าวันนี้สำคัญมากๆๆๆๆๆ
มหาบุรุษ ทรง เข้า ฌาน เพื่อบรรลุ ญาณ ไปจนถึง…
ยามต้น : ทรงบรรลุ “ปุพเพนิวาสานุติญาณ” คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น
ยามสอง : ทรงบรรลุ “จุตูปปาตญาณ” คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ยามสาม : ทรงบรรลุ “อาสวักขญาณ” คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา
* เสริม 2. ถ้าผมจำไม่ผิด พระองค์ทรงตรัสรู้ประมาณรุ่งเช้าพอดี จำช่วงเวลาไม่ได้
เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จ ปรินิพพาน ณ ร่มต้นสาละ คู่ ในสาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี
เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า ” ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บ ริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด” หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน
* เสริม 3. ปรินิพพาน คือ การไม่กลับมาเกิด ไม่กลับมาสร้างภพ สร้างชาติอีกต่อไป
* เสริม 4. ปัจฉิมโอวาท คือคำที่พระองค์ได้ตรัสเป็นครั้งสุดท้าย
* เสริม 5. ช่วงที่พระองค์จะปรินิพพาน 3 เดือนจนถึงปรินิพพาน เป็นช่วงที่ผมอ่านแล้วซึ้งมาก น้ำตาไหลๆ ลองหาอ่านดูนะครับแนะนำ บทที่เรียบเรียงโดย อ.วสิน อินทสระ (ถ้าพิมพ์ผืดต้องขออภัย แหะๆ)
วิสาขะบูชา
ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
ไม่ว่าปีไหนๆ
พระจันทร์ยังคงเต็มดวง
ระหว่างที่ผมเดินเวียนเทียน
ผมแหงนหน้ามองพระจันทร์
ดวงเดียวกับที่ 2594 ปีก่อน
มนุษย์ท่านหนึ่งก็นั่งใต้จันทร์ดวงนี้
และค้นพบหลักการของธรรมชาติ
มนุษย์คนหนึ่งที่เกิดในวรรณะกษัตริย์
และถูกกำหนดให้เป็นรัชทายาทองค์ต่อไป
หากแต่บุรุษท่านนี้รู้สึกผิดหวังกับชีวิตในปัจจุบัน
ทิ้งทุกอย่าง แม้แต่ภรรยาและลูกอันเป็นที่รัก
เพื่อออกเดินทางค้นหาอะไรบางอย่าง
เป็นสิ่งที่คนก่อนหน้าพยายามค้นพบมาหลายพันปี
แต่ก็ไม่มีใครพบสักคน
ทว่า บุรุษท่านนี้เป็นผู้ค้นพบมัน..
และผู้ค้นพบคนแรกก็ถูกกล่าวขานว่า พระพุทธเจ้า
มนุษย์ผู้หลุดพ้นจากความตาย หลุดพ้นจากวงจรอุบาศ
มนุษย์ผู้ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่ ไม่ต้องชดใช้กรรมอีกต่อไป
ผู้ซึ่งอยู่โดยไม่มีความทุกข์ใดๆ จะเข้ามาทำร้ายท่านได้อีก
พระพุทธเจ้า ทรงเผยแพร่สิ่งที่พระองค์ค้นพบ 45 พรรษา
แม้ก่อนจะปรินิพพาน ก็ยังฝากคำพูดอันเป็นประโยชน์ไว้
ไม่เหมือนบุคคลอื่นที่โหยหวน ก่อนจะตาย อย่างทุรนทุราย
2594 ปีก่อน พระองค์ทรงเดินเข้าป่าเพียงลำพัง
ค้นพบในสิ่งที่สวนกับกระแสความเชื่อในสมัยนั้น
พระองค์ไม่เคยใช้ปาฏิหารเพื่อเรียกร้องให้คนศรัทธา
จนเกิดสาวกกลุ่มแรก 5 รูป และ 60 รูป และหลายๆ รูป
จนก่อเกิดศาสนาใหม่ที่ทั่วโลกยอมรับ
จากบุรุษคนหนึ่ง ที่ทำให้โลกต้องสั่นไหว
สั่นไหวด้วยปัญญาความคิดที่พระองค์ทรงค้นพบ
แม้พระองค์จะประเสริฐเพียงใด ก็ไม่พ้นที่จะถูกดูหมื่น
บางศาสนาบอกว่าพระองค์คือเทพเจ้าองค์หนึ่งในศาสนาของเขา
บางศาสนาบอกว่าพระองค์คือผู้มาเบิกทางให้ศาสดาของเขาเดินย่ำมาเพื่อเผยแพร่ต่อไป
แม้พระองค์จะประเสริฐเพียงใด ก็ไม่พ้นความตาย…