คำสอนจากบุคคล

ลองนั่งนึกประมวลผลเล่นๆ เรื่องคำสอนเกี่ยวกับความรัก
ผมมีโอกาสพบปะผู้คน และก็มักถูกถามเรื่องความรักบ่อยๆ
ท่านเหล่านี้ก็จะแนะนำต่างกันไป ตามสไตล์ของท่าน

ความคิดแบบนักจิตวิทยา โดย อาจารย์จิตวิทยาที่ผมนับถือ
ท่านสอนผมให้คิดว่าที่เราเป็นอยู่ ณ ขณะนี้ มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ
แม้เขาจะไม่ได้รักเรา อย่างน้อย เราเองก็ยังได้รักเขาอยู่
เขายังเป็นความงดงามในชีวิตของเรา
และทำให้เรามีความหวังที่จะทำอะไรในชีวิตให้ดีขึ้น

ความคิดแบบนักธุรกิจ โดย เจ้าของบริษัทแห่งหนึ่งที่จ้างผมทำงาน
ท่านสอนผมว่า อย่าพยายามนึกถึง เพราะเราคิดไปเราเสียใจเราบ้าคนเดียว
แต่เขาไม่รู้หรอกว่าเราเป็นอะไรแค่ไหน เหมือนทำอะไรลงไป แล้วมันไม่เกิดอะไรขึ้่น
เราทำตัวเฉยๆ ไว้ หากยังรักเขาอยู่ ก็รอต่อไป ผมแนะนำให้ 3 ข้อ
1. อย่าไปคิดให้มันเสียใจ 2. หาอะไรทำ 3. ทำตัวเราให้มีคุณค่า
แ ล้วท่องไว้ว่า หากเป็นเนื้อคู่เรา ด่ากันแทบตาย ยังไงก็มาอยู่กับเรา แต่ถ้าไม่ใช่มันก็ไม่ใช่ แต่ช่วงระหว่างรอ คุณทำ 3 ข้อที่ผมบอกด้วยแล้วกัน นี่ยังดีนะ ที่เขาทิ้งคุณ ถ้าคุณทิ้งเขา เขาจะเป้นแบบที่คุณเป็นนี่แหละ น่าสงสารเขานะ

ความคิดแบบคนที่ศึกษาธรรม โดย ผู้ใหญ่ที่ผมเพิ่งได้รู้จัก แล้วกำลังเป็นแบบที่ผมเป็น
ท่านสอนผมว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา อย่าไปยึดติดเลย มันเป็นทุกข์

ความคิดแบบพระ โดย พระอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมเคารพ
ท ่านสอนผมว่า ไม่มีอะไรอยู่กับเรายั่งยืนหรอก เขาอาจจะไม่ใช่เนื้อคู่ของเรา แต่ถ้าใช่เดี๋ยวเขาก็กลับมา แต่เราจะรอเขาหรือเปล่าล่ะ แต่อย่าไปยึดติดนะ มันเป็นทุกข์ แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ความแน่นอนเป็นสิ่งไม่แน่นอน

ฟังมาก็เยอะ สุดท้าย ผมจะคิดอย่างไรดีล่ะเนี่ย

จาก http://ifew.exteen.com/20060904/entry 

Share

ว.วชิรเมธี ณ มหาลัยของเรา

งืมๆ วันนี้ไปที่มหาลัย มีปฐมนิเทศน์เด็กใหม่
ได้ฟัง ว.วชิรเมธี เทศน์ช่วงเช้าไปพักหนึ่ง
เอ่อ นะ ท่านเทศน์ได้น่าสนใจมาก
ไม่ถึงกับเบื่อ และก็ไม่ถึงกับตลกๆมากมาย
ท่าน เน้นสาระ ปล่อยมุขบ้าง จับลมหายใจบ้างสลับกันไป
สรุป ประทับใจ เหมือนกับที่ประทับใจในหนังสือของท่าน
สาธุๆ

ช่วงบ่าย ที่จริงเด็กในทีมเราจะต้องขึ้นพูดเรื่อง ประกันคุณภาพ
แต่พอดีว่าทำกิจกรรมไร้สาระมากไปหน่อย เวลาไม่พอ
แล้วทาง มหาลัย ไปเชิญ คุณ ชินกร ไกรลาศ มาทำ เลยต้องเข้าสู่พิธีบายศรี
ทีมงานเราเลยไม่ได้ขึ้นไปพูดกับเด็กใหม่เลย เสียดาย แต่ก็เข้าใจ

กิจกรรมที่ว่าไร้สาระ
พี่ท่านจะเอาดนตรีที่ได้แชมป์ของประเทศมาโชว์ แต่โชว์ที เป็นสิบเพลงเลย
ฟังแรกๆ ก็โอเค หลังๆ ชักเบื่อ ชักเซ็ง
เด็กก็ไม่มีอารมร์ร่วมเล้ยยยย สนุกแม่ง กันอยู่ 2 คน บนเวที
ต่อจากนั้นก็เป็นพวกประธานนักเรียนมาแนะนำตัวๆๆๆ
พอแนะนำเสร็จ ก็มีกระเทยในมหาลัย มาเต้นคาบาเร่โชว์
อย่าให้กรูเจอเดี่ยวๆ นะเมิง โดดถีบสองตีนเลย
แต่ยอมรับ คนหลังๆ สวยจริง 555

นี่แหละ พอเราจะขึ้น ก็โดนล็อกบอกว่า คุณชินกร มารอแล้ว ต้องรีบทำพิธี

เอ้อ มันแปลกดี เมิงจะพุทธ หรือ พราหมณ์ วะ
เช้าพุทธ แต่ บ่ายพรามหมณ์
แถม พิธีพราหมณ์ ก็ดันเอา ศิลปินมาทำ
ไม่ใช่พราหมณ์จริงๆ มันจะศักดิ์สิทธิ์ไหมเนี่ย
หรือว่าคุณชินกร เป็นพรามหมณ์
(แต่คิดว่าไม่น่าใช่ เห็นพี่แก นุ่งโจงกระเบนน้ำเงินเรืองแสงมา ไม่ได้นุ่งขาวห่มขาว)

สรุป ไปเก้อ แต่สงสารเด็กที่จะพูด
มันอุส่า เตรียมตัวมานาน เครียดมากก่อนขึ้น
แต่แล้วก็ไม่ได้ขึ้น เหอๆ
แต่ก็ความผิดเราด้วย ที่ไม่ได้ไปโวย
ให้ทีมเราพูดหลังดนตรีจบ จะได้เสร็จๆ กันไป

ได้ไปอ่านตาม blog ของหลายๆ คน
และจากที่เจอเอง มักจะมีคำถามทำนองว่า
เกิดมาทำไม, เกิดมาเพื่ออะไร, มีชีวิตเพื่ออะไร
ถ้าใครกำลังประสบปัญหานี้อยู่
แนะนำให้ลองเข้าร้านหนังสือ เลือกหนังสือธรรมะสักเล่ม
ลองอ่านคร่าวๆ เลือกเล่มที่เราคิดว่าน่าจะอ่านสนุกและเข้าใจที่สุด
ผมว่ามันจะช่วยตอบโจทย์ของชีวิตได้ พอสมควร

หลังจากผมบวช และก็เจอเรื่องต่างๆ นานา
ผมก็เริ่มสนใจจะอ่านธรรมะขึ้นมาบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดจะอยากอ่านเลย
(เมื่อก่อนก็พอศึกษาสมาธิบ้าง เพราะอยากมีอิทธิฤทธิ์ อิอิ)
คือ เมื่อเทียบกับอดีต และ ปัจจุบัน รู้สึกว่าความคิดมันเปลี่ยนไป
หลายอย่างที่ผมตอบปัญหาของตัวเองได้ (แต่บ่อยครั้งก็ห้ามไม่ให้มีอารมณ์ต่างๆ ได้)
หรือบางอย่างถ้าเรายังไม่เจอคำตอบ
แต่มันจะเจอสิ่งที่ชี้นำให้เราปฏิบัติไปเจอคำตอบในอนาคตได้

ตามหลักธรรมะท่านบอกว่า ไม่ควรเชื่ออะไรง่ายๆ
เราต้องลองทำเองแล้วให้เห็นกับตัวเอง
เชื่อเถอะ ถ้าคุณทำแล้วรู้สึกว่ามันดี
คุณจะกลายเป็นคนละคนไปเลย
เช่น ตาฟัก อาจจะแทรกธรรมะลงใน blog ลามกๆ สัก entry หนึ่งก็ได้ 555

ว่าแต่ไปเจอประโยคหนึ่ง ใน tosdn board ทิดโอเป็นคนโพส ซึ่งได้มาจาก manager
ความว่า

” ไก่ป่าต้องเดินไปไกล 10 ก้าว จึงได้จิกกินเมล็ดธัญพืชหนึ่งเมล็ด และต้องเดินไปไกลอีก 100 ก้าว จึงได้จิบกินน้ำหนึ่งอึก กระนั้น มันก็ไม่ต้องการอยู่ในกรงทอง แม้นจะมีอาหารน้ำรอท่าพร้อมให้กินดื่มดั่งราชา ด้วยมันไม่อาจเติมเต็มจิตวิญญาณ”

ตัดตอนแปลจาก The Complete Works of Chuang Tzu translated by Burton Watson บทที่ 3

ทำให้ผมได้นึกเปรียบเทียบช่วงที่ผมถ่ายรูปนก กับ ช่วงที่เห็นคนรักนกเขาเลี้ยงนก
คือ นกที่อยู่อิสระ ผมเห็นความน่ารัก ความมีชีวิต ของมันขณะที่ถ่าย
เห็นอริยาบทต่างๆนานา ย้ายเกาะกิ่งนั้นไปกิ่งนี้ จิกนั่นจิกนี่ แต่งขน หรือบินไปเกาะกลุ่มกัน

แต่สำหรับนกที่อยู่ในกรง ผมเห็นเจ้าของดูแลดีมาก มีอาหารมีน้ำ กรงก็ใหญ่พอบินได้บ้าง
(ตอนที่ผมเห็น พอดีผมไปขอหลบฝนในร้านขายของชำแห่งหนึ่ง)
เจ้าของเก็บนกของแกก่อนจะช่วยเมียเก็บร้านเสียอีก แสดงถึงความรักนกของแกมากมาย
แต่สิ่งที่ผมเห็นในนกเหล่านั้น ผมไม่เห็นความมีชีวิตของมันเลย

ผ มคิดว่า บางที การรักสัตว์ที่แท้จริง ก็คือการปล่อยให้สัตว์กลับไปตามธรรมชาติของมัน ยกเว้นมันจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เช่น หาอาหารไม่เป็น หลบภัยไม่เป็น เลือกกินไม่เป็น ไม่รู้จักอันตราย พวกนี้คงจะต้องเลี้ยงต่อไปจนตายจากกันไปข้างหนึ่ง (ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่เราเลี้ยงมาแต่เล็กๆ)

หรือสัตว์บางตัว พร้อมใจอยู่กับเรา หรือสัตว์บ้าน เช่น หมา แมว อันนี้ก็เลี้ยงได้อยู่ สรุป คือ สัตว์ที่รู้จักบุญคุณ รู้จักความรัก มันรักเรามันก็ต้องพร้อมที่จะอยู่กับเรา ไม่หนีเราไปออกป่าแน่

ตอนถ่ายนก ก็เห็นมันน่ารักดี อยากเลี้ยง แต่ก็ต้องปล่อยให้มันบินไป
รู้สึกว่าดูมันน่ารักแบบนี้ ดีกว่าที่จะดูมันน่ารักแบบไร้ชีวิตในกรง

จาก http://ifew.exteen.com/20060531/entry 

Share

งานจิตวิทยา

ถ้าใครอยากรู้ว่าคิดแบบผมเป็นอย่างไร ลองถามตัวเองดูว่าเคยคิดแบบนี้ไหม
สุขคืออะไร รักคืออะไร ทุกข์คืออะไร รวยคืออะไร จนคืออะไร ฯลฯ

คำถามเหล่านี้แหละคือ อภิปรัชญา ที่หาคำตอบไม่ได้
แต่ถ้าอยากได้คำตอบมันก็ไม่ยาก
ผมไม่ต้องรู้อะไรทั้งสิ้น ผมเพียงแต่รู้จักตัวเองเท่านั้น

รู้ว่าสุขเท่าใดผมถึงเรียกว่าสุข ทุกข์เท่าใดผมเรียกว่าทุกข์ รักเท่าใดผมเรียกว่ารัก

ซึ่งบางทีผมอาจจะมีความสุขเพราะเธอได้รักกับผม
หรือบางทีผมอาจจะมีความสุขเพียงผมได้รักเธอเท่านั้น

และปรัชญาทั้งหลายทั้งมวล ก็ถูกสรุปได้เพียงว่า รู้จักตัวเอง

ในโลกยุคโพสโมเดิร์น (postmodern) คนเรามีความเป็นปัจเจก (individual) มากขึ้น
บ่อยครั้งที่เราเห็นคนทำบ้าๆ บอๆ โดยไม่สนใจสายตาคนอื่น นั่นคือผลผลิตของการเป็นปัจเจกชน

ปัจเจกชนไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร ฉันทำอย่างนี้ ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ลำบากใคร ฉันทำได้ทั้งนั้น
ปัจเจกชนไม่สนใจว่าพ่อแม่จะคิดอย่างไร ในเมื่อฉันดูแลตัวเองได้ เงินฉันหามาเอง พวกคุณก็อย่ามายุ่งกับฉันเลย

เมื่อสังคมมีปัจเจกชนเยอะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็น คนแต่งตัวโป๊ คนติดยา ฯลฯ
แต่ปัจเจกชนดีๆ ก็มีเยอะ

ซึ่งในมุมมองนี้ความคิดผมและท่านได้ตรงกัน คือ ทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเอง
มีปัญญา มีสมองคิด ก็ทำตัวเองดี ไม่มีปัญญา ไม่มีสมองคิดก็ทำตัวเองไม่ดี
ตัวเองทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น หรือศัพท์ทางธรรม มันคือ กรรม

เมื่อตอนที่ทำกรรมใดไว้ ก็หมายถึงเจตนาคิดแล้วว่าจะทำ
เมื่อผลของกรรมนั้นจะเลวร้ายอย่างไร ก็หมายถึงว่าต้องน้อมรับผลนั้น โดยไม่ต้องบ่นเลยสักคำ
เพราะเจตนาทำเอง หากจะบอกว่าเราขาดสติในตอนทำ นั่นก็เพราะเราทำตัวเองให้ขาดสติ ในขณะที่ไตร่ตรอง

เมื่อมองได้เช่นนี้ มันก็เริ่มจะกลายเป็นคนที่รู้แจ้งแทงตลอด ไม่บ่นว่าทำไมต้องเจอนั่นเจอนี่
บางกรรมทำขึ้นเองก็รู้ได้ บางกรรมก็ยังไม่สามารถรู้ได้ เพราะปัญญายังมีไม่มากพอ

ไม่รู้ว่านำมาคิดต่อถูกหรือเปล่า แต่ปัญญามีเท่านี้ ก็คิดได้เท่านี้

จาก http://ifew.exteen.com/20060821/entry 

Share