คนไทยนิยมมีลัทธิอยู่สามอย่าง ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่พระพุทธศาสนา
1. กรรมลิขิต คือ ลัทธิที่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมาจากกรรมเก่า เช่น ศาสนาเชน ศาสนาพราหมณ์
2. เทวนิยม คือ ลัทธิที่เชื่อว่าเทพเจ้าบรรดาล เช่น จตุคามรามเทพ พระพรหม ฯลฯ
3. ลิทธิหวังผลดลบรรดาล หรือ ลัทธิบริโภคนิยม เช่น “สาธุ.. วันที่ 1 ขอเจ๋งๆ 7 ตัว ถ้าได้นะเจ้าพ่อ ขอสร้างโบสถ์ให้หนึ่งหลัง” โดยคนพวกนี้มักจะมีพิธีกรรมของเขาเอง กราบนั่นไหว้นี่ แก้บนแบบนั้นแบบนี้ สารพัด เมื่อสมหวังและไม่สมหวังการกระทำบูชาก็กลับหน้ามือเป็นหลังมือ
ลัทธิในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่มีเรื่องกรรมเก่าอย่างเดียว
แต่ทัศนะของกรรม คือ การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา
และเจตนานั้น สามารถเป็นได้ทั้งปัจจุบันกรรม อดีตกรรม อนาคตกรรม
อะไรที่ไม่มีเจตนาจะทำ เรียกว่า กริยา
แล้วกรรมเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ?
กรรมเกิดขึ้นเพราะมีกิเลส
เกิดเพราะการเห็น ฟัง ได้กลิ่น สัมผัส ลิ้มรส (กิเลสภายนอก)
อยากได้ อยากมี อยากเป็น ชอบพอ เกลียด โกรธ (กิเลสภายใน) ฯลฯ
เมื่อมีกิเลสแล้วจึงเกิดการกระทำเพื่อตอบสนองกิเลสนั้นๆ
เมื่อทำแล้วจึงเกิดผลที่ตามมา จะดี จะชั่ว ก็แล้วแต่
ซึ่งกล่าวอย่างสั้นที่สุด คือ ขบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นที่กิเลสภายใน หรือใจเรา นั่นเอง
ในกายกรรม (การกระทำทางกาย) มโนกรรม (การกระทำทางใจ) วจีกรรม (การกระทำทางคำพูด)
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กรรมที่อันตรายที่สุดคือ มโนกรรม (กรรมทางใจ)
ท่านผู้รู้บอกไว้ว่า
เธอจงระวังความคิด เพราะความคิดก่อให้เกิดการกระทำ
เธอจงระวังการกระทำ เพราะการกระทำก่อให้เกิดนิสัย
เธอจงระวังการนิสัย เพราะนิสัยก่อให้เกิดบุคคลิก
เธอจงระวังบุคลิก เพราะถึงที่สุดแล้วบุคลิกจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเธอ
ซึ่งชะตากรรมที่ดีหรือไม่ดีของเธอนั้น เกิดจากความคิดของเธอนั่นเอง
การให้ผลของกรรม แท้ที่จริง ทุกครั้งที่เราคิดและเรากระทำผ่านทางกาย ไม่ว่าเป็น มือ เท้า กาย ปาก ลิ้น ตา หู ฯลฯ
ล้วนแสดงผลออกมาจากใจ(ความคิด) จึงเป็นข้อบ่งบอกว่า กรรมจึงส่งผลได้ในปัจจุบันทันที
กรรมให้ผลผ่าน 4 มิติ
1. ปัจจุบันขณะ คือ ในชีวิตนี้ พอใจคิด กายก็ทำ จึงให้ผล ณ ขณะนั้นเลย
2. ในชาติหน้า คือ ทุกอย่างที่ทำในชาตินี้ และไม่สามารถแสดงผลในชาตินี้ได้ ก็จะแสดงไปในชาติหน้า เช่น ทำบุญ ทำทาน
3. กรรมให้ผลในชาติต่อไป คือ กรรมที่เหลือจากชาติก่อนๆ ผสมกับชาติปัจจุบัน สะสมกันไปไม่จบสิ้น จนกว่าจะสิ้นสุดขบวนของกรรม
4. กรรมเลิกให้ผล (อโหสิกรรม) คือ กรรมที่ไม่มีโอกาสแสดงผล หรือผู้กระทำพ้นจากบ่วงกรรม (บรรลุนิพพาน)
วิธีชนะกรรม
ไม่ว่าจะสร้างพระพุทธรูปแปดหมื่นองค์ สร้างโบสถ์ ทำบุญ บูชานั่นนี่ทั้งหลายแหล่
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่วิธีทางพระพุทธศาสนา จะได้ผลหรือไม่ได้ผล ก็ต้องไปถามศาสดาของศาสนาอื่น
แต่ในทัศนะพุทธศาสนามีอยู่เพียงวิธีเดียวคือ การปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 หรือเจริญวิปัสนากรรมฐานนั่นเอง
ผู้ที่เจริญวิปัสนากรรมฐานได้ คุณภาพจิตจะเปลี่ยนเป็นสัมมาทิฐฐิ คือเห็นชอบตามธรรมนองคลองธรรม
พอจิตเปลี่ยนคุณภาพดีขึ้น เห็นอะไรผิด อะไรชอบ การกระทำก็จะเปลี่ยน ชีวิตก็จะเปลี่ยน
ผลของการกระทำก็จะเปลี่ยนตาม ทำให้เราเป็นบุคคลใหม่
ชีวิตจึงเป็นผลของความคิด
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า จิตฺเตน นียติ โลโก จิตฺเตน ปริกสฺสต
โลกหมุนไปเพราะความคิดและจิต
โลกนี้หมายถึงชีวิตเรา จะหมุนไปข้างดีหรือข้างชั่ว สูงหรือต่ำ นั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราคิด
เพราะฉะนั้น หากอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น ให้เปลี่ยนแปลงความคิดเสียก่อน
วิธีคิดเปลี่ยน ชีวิตก็เปลี่ยน เราจึงสามารถเปลี่ยนแปลงกฏแห่งกรรมของเราเอง
สรุปสั้นๆ การชนะกรรม หรือทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น ไม่ใช่แก้ด้วยปัจจัยภายนอก หรือคนอื่น แต่ให้แก้จากวิธีคิดของเราเอง
…
..
.
ผู้ใดเคยประมาทมาเพลาก่อน แต่กลับย้อนไม่ประมาทได้ในภายหลัง
ผู้นั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสว ดังหนึ่งจันทราพ้นจากเมฆาอันมืดมิด
– พระองคุลิมาล –